คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3531/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนำเช็คมาขายลดให้โจทก์และออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนเท่ากันกำหนดใช้เงินให้โจทก์เมื่อครบ 58 วันเท่ากับระยะเวลาที่เช็คถึงกำหนดชำระเงินพร้อมกับได้ทำหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินโดยระบุให้เช็คดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์ที่ประกันในการออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีข้อตกลงในการชำระเงินว่า เมื่อถึงกำหนดชำระเงินให้โจทก์นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร ถ้าโจทก์ได้รับเงินตามเช็คก็ให้ถือว่าตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยเป็นผู้ออกนั้นได้ใช้เงินแล้วหนี้ที่ซื้อขายลดเช็คเป็นอันระงับไป หากเช็คเบิกเงินไม่ได้ จำเลยจะต้องรับผิดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ดังนี้ การออกตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นความสมัครใจของโจทก์และจำเลย เกิดเป็นสัญญามีผลผูกพันบังคับกันได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คดังกล่าวสูญหายไปจำเลยต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มิได้นำเช็คไปเบิกจากธนาคารก่อนหรือการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพื่อปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ และเรื่องนี้มิใช่เรื่องสัญญาค้ำประกัน จำเลยจะยกเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 697 มาปัดความรับผิดก็ไม่ได้เช่นกัน หนี้ที่จำเลยนำมาขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์เป็นหนี้ที่เกิดจากความเสียหายอันเนื่องจากการที่โจทก์ทำเช็คสูญหายไปมิใช่เป็นหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระหนี้ตามเช็คให้จำเลยโจทก์มิได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คจึงไม่มีหนี้อะไรตามเช็คที่จำเลยจะนำมาหักกลบลบหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้ จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ต่างหาก โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและนำมาขายให้แก่โจทก์ ครั้นถึงกำหนดจำเลยไม่ยอมชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำเช็คมาขายลดให้โจทก์แล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมกับทำหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินโดยระบุเช็คนั้นเป็นประกันการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยมีข้อตกลงว่า หากโจทก์นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยจะต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินสัญญาจะจ่ายเงินจำนวน200,000 บาท ให้แก่โจทก์ เมื่อครบ 58 วันนับแต่วันที่ลงในตั๋ว ในวันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำเลยได้ขายตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ตามมูลค่าแห่งตั๋ว จำเลยได้รับเงินค่าขายตั๋วสัญญาใช้เงินไปครบถ้วนแล้ว ครั้นถึงกำนดใช้เงิน จำเลยไม่ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นการผิดนัดทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ลายมือชื่อผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย จำเลยเคยนำเช็คของธนาคารสหมาลายัน จำกัด จำนวนเงิน 200,000 บาท ไปขายลดให้โจทก์โดยมีข้อตกลงว่าหากเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้โจทก์จะต้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์ไม่นำไปเรียกเก็บเงินจนขาดอายุความ ทำให้หลักประกันที่จำเลยมอบให้โจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้เสียหายคิดเป็นมูลค่า 200,000 บาทจำเลยจึงขอหักกลบลบหนี้กับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้อง ธนาคารยังมิได้ปฏิเสธการชำระเงินโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้และดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยนำเช็คตามฟ้องไปขายลดให้แก่โจทก์โดยจำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องให้โจทก์ไว้เป็นประกัน หากโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค จำเลยจะต้องใช้เงินให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น ตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นสังหาริมทรัพย์ เมื่อทำการซื้อขายกันกฎหมายไม่ได้บัญญัติบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ จำเลยย่อมนำพยานบุคคลเข้าสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) การที่เช็คถูกทำลายไปไม่เป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คให้แก่โจทก์และหาใช่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 ไม่ พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามฟ้องให้โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้นำเช็คของธนาคารสหมาลายัน จำกัดจำนวนเงิน 200,000 บาท ไปขายลดให้แก่โจทก์โดยได้ตกลงกันให้จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดไม่จำต้องคัดค้าน จ่ายเงินจำนวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์เมื่อครบ 58 วัน เท่ากับระยะเวลาถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็คฉบับที่จำเลยนำมาขายลดแก่โจทก์และจำเลยยังได้ทำหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใชเ้งินโดยระบุเช็คดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์ที่ประกันในการออกตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นอีก ส่วนวิธีการชำระเงินแก่โจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเบิกเงินจากธนาคารเมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินก่อน เมื่อโจทก์รับเงินตามเช็คนั้นได้ ก็ให้ถือว่าตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้ใช้เงินแล้ว หนี้ที่ซื้อขายลดเช็คย่อมระงับไป หากเช็คเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้จำเลยจะต้องรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่จำเลยผิดนัด ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์และจำเลยตกลงกันโดยจำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวด้วยความสมัครใจของโจทก์และจำเลย จึงเกิดเป็นสัญญาขึ้นอันมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายซึ่งโจทก์และจำเลยต้องผูกพันต่อกัน เมื่อเช็คที่จำเลยนำไปขายลดให้แก่โจทก์ซึ่งได้กลายเป็นหลักประกันตามสัญญาดังกล่าวสูญหายไป เนื่องจากพนักงานของโจทก์ฉีกทิ้งก่อนที่เช็คจะถึงกำหนดเบิกเงินได้ และผู้จัดการสาขาของโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบโดยมีการเจรจากันว่าจำเลยยอมผ่อนชำระให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่อนุมัติ ดังนั้นจำเลยต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยจะถือว่าโจทก์มิได้นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารก่อนหรือการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยที่จะทำได้จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์นั้นหาชอบไม่ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ได้ จำเลยจะอ้างอีกว่าจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากการชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 697 หาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นเรื่องสัญญาค้ำประกัน

ที่จำเลยโต้แย้งขอหักกลบลบหนี้ต่อโจทก์เพราะเช็คที่จำเลยนำไปขายลดให้แก่โจทก์ขาดอาายุความไม่สามารถไล่เบี้ยได้นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้ที่จะหักกลบลบหนี้กันได้นั้นจะต้องเป็นหนี้ที่บุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกัน โดยมูลหนี้อันมีวัตถุอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระ แต่ในกรณีที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้นี้เป็นเรื่องหนี้ของจำเลยเกิดจากความเสียหายอันเนื่องจากการที่โจทก์ทำเช็คสูญหายไป มิใช่เป็นหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระหนี้ตามเช็คให้จำเลย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งโจทก์มิได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค จึงไม่มีหนี้อะไรตามเช็คที่จำเลยจะนำมาหักหลบลบหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้ จำเลยได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์อย่างไรชอบที่จำเลยจะไม่ว่ากล่าวแก่โจทก์ต่างหาก

ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาว่าการที่จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์นั้น จำเลยออกเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คระหว่างโจทก์และจำเลย จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์เกี่ยวกับการขายตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ เป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณาแตกต่างกับคำฟ้องของโจทก์จะต้องยกฟ้องโจทก์นั้น เห็นว่าศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว และถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้แตกต่างกับคำฟ้องของโจทก์

พิพากษายืน

Share