คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องการบังคับคดีนี้หลังจากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ไปแล้ว โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทั้งไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องการบังคับคดี แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของโจทก์ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุที่ศาลจะมีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ได้ต่อเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง หากการบังคับคดีเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้ต่อมาจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดกลับให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีก็ตาม ก็ไม่ทำให้การขายทอดตลาดที่ได้ดำเนินการโดยชอบแล้วเสียไป สำหรับกรณีเจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีในกรณีที่มีคำพิพากษาในระหว่างบังคับคดีได้ถูกกลับในชั้นที่สุด ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295(3) นั้น หมายถึงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีที่จะดำเนินการต่อไป มิได้หมายความว่าการบังคับคดีที่ผ่านไปแล้วกลายเป็นการบังคับคดีที่มิชอบแต่อย่างใดไม่ เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินพิพาทไว้ 291,000 บาทตรงกับราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดิน และประเมินราคาสิ่งปลูกสร้าง17,000 บาท แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปเพียง 125,000 บาท ต่ำกว่าราคาประเมินกว่าสองเท่าตัว แม้จะมีการประกาศขายถึง 5 ครั้ง แต่เป็นการเลื่อนการขายเพราะไม่มีผู้นำขายถึง 2 ครั้ง อีก 3 ครั้งเลื่อนเพราะมีผู้เสนอราคาต่ำ เห็นได้ว่าราคาที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอไปนั้นเป็นราคาที่ต่ำเกินไป หากเลื่อนการขายออกไปอาจมีผู้เสนอราคาสูงกว่านั้นได้ เจ้าพนักงานบังคับคดีน่าจะถอนทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 513 แล้วประกาศขายทอดตลาดใหม่การอนุญาตให้ขายของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงมิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ของการขายทอดตลาด เป็นการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 513 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 308 เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 627ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และนางอำพรหรืออำมร สุพรหมมา ผู้เป็นทายาทให้จำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนองและคืนที่ดินโดยปลอดจำนองแก่กองมรดกของนางฉิ้ม ให้กำจัดจำเลยทั้งสองมิให้ได้รับมรดกของนางฉิ้มศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนางฉิ้มตกได้แก่โจทก์และนางอำพรหรืออำมรผู้เป็นทายาท ให้จำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนองและคืนที่ดินพิพาทโดยปลอดจำนองแก่กองมรดกของนางฉิ้ม กำจัดจำเลยที่ 1 มิให้รับมรดกของนางฉิ้ม จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยทั้งสองไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ขอให้บังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 519 ตำบลตลาดอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และมีการจดทะเบียนจำนองต่อธนาคารกสิกรไทย จำกัด เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน 2532 เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาด ทรัพย์ดังกล่าวโดยปลอดจำนอง นางอำพรหรืออำมร สุพรหมมาผู้ซื้อทรัพย์ได้ในราคา 125,000 บาท
จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดราคาต่ำกว่าราคาที่ประเมินไว้ ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยเพียงแต่อ้างลอย ๆ ว่า ขายทอดตลาดในราคาต่ำเกินไป แต่ไม่ได้ระบุว่า การขายทอดตลาดไม่ชอบหรือผิดกฎหมายอย่างไร อีกทั้งจำเลยก็รับว่ามีการขายทอดตลาดมาหลายครั้งแล้ว และเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ให้โอกาสจำเลยหาผู้ซื้อมา แต่จำเลยก็หาไม่ได้ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ศาลฎีกาได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชนะคดีเป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นทำการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโดยยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาด จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดได้ราคาที่ต่ำไปขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดใหม่ ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาได้พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงมีคำพิพากษาในเรื่องการบังคับคดีโดยให้ยกเลิกการขายทอดตลาด การที่โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในเรื่องการบังคับคดีนี้หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ไปแล้ว โจทก์จึงมิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต่อไป ทั้งโจทก์มิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีโจทก์จึงไม่มีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในเรื่องการบังคับคดีดังกล่าวต่อไป แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของโจทก์ก็เป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในฎีกาส่วนของโจทก์นี้
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์มีว่าการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือไม่ โดยผู้ซื้อทรัพย์ฎีกาว่า คดีนี้มีการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ดังกล่าวได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แม้ต่อมาศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีการขายทอดตลาดก็มีผลบังคับตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่ควรยกเลิกการขายทอดตลาด เห็นว่า เหตุที่ศาลจะมีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดดังกล่าวได้ต่อเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง หากการบังคับคดีเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วแม้ต่อมาจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดกลับให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีก็ตามก็ไม่ทำให้การขายทอดตลาดที่ได้ดำเนินการโดยชอบแล้วเสียไป สำหรับกรณีเจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีในกรณีที่มีคำพิพากษาในระหว่างบังคับคดีได้ถูกกลับในชั้นที่สุดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(3) นั้น หมายถึงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีที่จะดำเนินการต่อไปมิได้หมายความว่าการบังคับคดีที่ผ่านไปแล้วกลายเป็นการบังคับคดีที่มิชอบแต่อย่างไรไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ศาลฎีกาได้พิพากษากลับ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์ หนี้ที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่มีที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์และขายทอดตลาดไปนั้นจึงไม่มีผลเห็นสมควรยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวเสีย แล้วพิพากษากลับให้ยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์นั้นจึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ในส่วนนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า การขายทอดตลาดทรัพย์ได้ราคาต่ำไปเป็นการมิชอบนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังมิได้วินิจฉัยศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาใหม่ เห็นว่า ที่ดินแปลงนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินราคาไว้ 291,000 บาท ตรงกับราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินดังปรากฏตามเอกสารท้ายอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง และประเมินราคาสิ่งปลูกสร้าง 17,000 บาท แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปเพียง 125,000 บาท ต่ำกว่าราคาประเมินกว่าสองเท่าตัวแม้จะมีการประกาศขายถึง 5 ครั้ง แต่เป็นการเลื่อนการขายเพราะไม่มีผู้นำขายถึง 2 ครั้ง อีก 3 ครั้ง เลื่อนเพราะมีผู้เสนอราคาต่ำการขายในครั้งนี้แม้จะเป็นการขายครั้งที่ 4 ที่มีผู้เสนอราคาแต่ก็เห็นได้ว่าราคาที่ผู้ซื้อทรัพย์เสนอนั้นเป็นราคาที่ต่ำเกินไปหากเลื่อนการขายออกไปอีกอาจมีผู้เสนอราคาสูงกว่านั้นได้เจ้าพนักงานบังคับคดีก็น่าจะถอนทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดในครั้งนั้นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 513แล้วประกาศขายทอดตลาดใหม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์ตามพฤติการณ์แล้วน่าเชื่อว่าหากมีการประกาศขายใหม่จะมีผู้สู้ราคาสูงกว่าในครั้งนี้การอนุญาตให้ขายของเจ้าพนักงานบังคับคดีในครั้งนี้จึงมิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ของการขายทอดตลาด เป็นการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 513 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 308 เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ในครั้งนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน

Share