แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ที่ชนรถยนต์ของโจทก์ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคสอง จึงมีอายุความ 2 ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882วรรคแรก จะนำอายุความในมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาใช้ไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า รถยนต์ของโจทก์ถูกรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๑๔๕,๒๕๔ บาท การชนเกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของผู้ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้ ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเกิน ๑ ปีนับแต่วันทำละเมิดและรู้ตัวผู้รับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นในชั้นฎีกามีตามฎีกาของจำเลยเพียงว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าอายุความคดีนี้ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคแรกหาใช่มาตรา ๘๘๒ วรรคแรก ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ เป็นเรื่องการใช้สิทธิเรียกร้องของผู้ต้องเสียหายในมูลละเมิดซึ่งมีอายุความ ๑ ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันที่ชนรถยนต์บรรทุกของโจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ อันเป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗วรรคสอง ซึ่งมีอายุความ ๒ ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๒ วรรคแรก จะนำอายุความในมูลละเมิดมาใช้กับคดีนี้ไม่ได้ เมื่อคดีนี้เหตุเกิดในวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๘ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.