แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อคำพิพากษาในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้วฟังว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสองอยู่โดยอาศัยสิทธิการเช่าจากบิดาโจทก์ เช่นนี้ เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่าและฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นคดีใหม่ จำเลยจะยกสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของขึ้นต่อสู้โจทก์อีกไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ส.ค. ๑ เลขที่ ๓ หรือ ๑๓ หมู่ที่ ๑๐ หรือ ๖ ตำบลบ้านนา อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เป็นทรัพย์มรดกของบิดาตกได้แก่โจทก์ซึ่งโจทก์ร้องขอโอนรับมรดก ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยทั้งสองร้องคัดค้านและโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดนครนายก ขอให้พิพากษาแสดงว่าที่ทั้งแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๕๔/๒๕๑๔ ซึ่งถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ต่อมาวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๑๗ จำเลยทั้งสองแถลงต่อศาลไม่ยอมรื้อถอนบ้านเรือนและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่พิพาท โดยอ้างว่าเพราะโจทก์มิได้ฟ้องขับไล่จำเลย จึงขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองกับบริวารรื้อถอนบ้านเรือน ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่พิพาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๑๒,๓๐๐ บาท และค่าเสียหายต่อไปเดือนละ ๓๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายออกเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าเคยพิพาทกับโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๕๔/๒๕๑๔ และแพ้คดีจริง คดีดังกล่าวจำเลยต่อสู้ครอบครองเป็นเจ้าของมาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว โจทก์รู้ดีว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยละเมิดตั้งแต่วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๔ มิได้ฟ้องเอาคืนการครอบครองภายใน ๑ ปี ขาดอายุความเรียกคืนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถานศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและวินิจฉัยว่านับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังถึงวันฟ้องไม่เกิน ๑ ปี โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่ได้ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนบ้านและขนย้ายออกไปจากที่พิพาท กับให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ปีละ ๒๕๐ บาท นับแต่วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ตลอดไปจนกว่าจะรื้อถอนขนย้ายเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเรียกคืนการครอบครอง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องสิทธิครอบครองที่พิพาท คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสองครอบครองโดยอาศัยสิทธิการเช่าจากบิดาโจทก์ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้โจทก์จำเลยฟังเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๗ โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยสอบถามเรื่องการรื้อถอนขนย้ายออกจากที่พิพาท จำเลยแถลงไม่ยอมออกเพราะโจทก์มิได้ฟ้องขับไล่ โจทก์จึงให้ทนายความบอกเลิกการเช่าและฟ้องขับไล่ เมื่อคดียุติไปแล้วว่าจำเลยทั้งสองอยู่โดยอาศัยสิทธิการเช่าจำเลยจึงยกสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของขึ้นต่อสู้โจทก์อีกไม่ได้ ไม่มีเหตุจะยกมาตรา ๑๓๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้นปรับคดีดังจำเลยฎีกาโต้แย้ง
พิพากษายืน