คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3516/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีความผิดอันยอมความกันได้ ผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าได้ทำสัญญาประนีประนอม โดยได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลย จนเป็นที่พอใจแล้ว จึงไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยทั้งหมด และจำเลยทั้งสี่กับผู้เสียหายได้ลงชื่อไว้ในท้ายรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น แสดงว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ยอมความกันถูกต้องตามกฎหมายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 272, 273 ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 273 ซึ่งเป็นบทหนักเมื่อปรากฏว่าความผิดตามมาตรา 272 เป็นความผิดอันยอมความได้และได้มีการยอมความกันโดยถูกต้องจนสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปแล้วศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องในความผิดตามมาตรา 272 คงให้ลงโทษตามมาตรา 273 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกรรมกล่าวคือ ได้ร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดกิมฮง โดยนางวิมล วัฒนศิริ หุ้นส่วนผู้จัดการผู้เสียหายซึ่งได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ต่อกรมทะเบียนการค้า และร่วมกันเอาเครื่องหมายการค้า ชื่อ รูป รอยประดิษฐ์และข้อความในการประกอบการค้าของห้างผู้เสียหายมาใช้ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของห้างผู้เสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๒, ๒๗๓, ๘๓, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๒ ปรับจำเลยที่ ๑ จำเลยนอกนั้นจำคุก และปรับ ลงโทษตามมาตรา ๒๗๓ ปรับจำเลยที่ ๑จำเลยนอกนั้นจำคุกและปรับ รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ให้รอการลงโทษของกลางริบ
จำเลยที่ ๑, ๒, ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทและเป็นเหตุในลักษณะคดีมีผลถึงจำเลยที่ ๓ ที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วยทั้งไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๒ ได้มีการประนีประนอมยอมความกันแล้วหรือไม่ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๗๓ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา ๙๐ ปรับจำเลยที่ ๑ จำเลยอื่นจำคุกและปรับ จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๒ ซึ่งเป็นอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากมาตรา ๒๗๓
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ จำเลยทั้งหมดและผู้เสียหายมาศาล จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพตามฟ้อง นางวิมลผู้เสียหายแถลงว่า ได้ทำสัญญาประนีประนอมโดยได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยทั้งหมด และจำเลยทั้งสี่ ผู้เสียหายได้ลงชื่อไว้ในท้ายรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นด้วย แสดงว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ยอมความกันถูกต้องตามกฎหมายแล้วเมื่อความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๒ เป็นความผิดอันยอมความกันได้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙(๒) โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๒ อีกไม่ได้ แม้จำเลยทั้งสี่จะมิได้ฎีกาขึ้นมาแต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๒ ให้ยกฟ้องนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share