แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 และที่3 โดยเห็นว่าเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226(1) คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามฎีกา
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน ค้ำประกัน และจำนอง จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การต่อสู้คดี จำเลยที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกนายพรเทพ แซ่โค้ว นายสมศักดิ์ ประภาสพงษ์ นายชัยวงศ์ จันทร์รุจิพัฒน์ และนายสุทธิ ตันติพิสิฐกุล เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพื่อจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จะใช้สิทธิไล่เบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๗ (๓)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ต่อมาวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง แต่ให้รับเป็นคำโต้แย้งคัดค้าน จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ฉบับวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๔๔ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับเป็นคำโต้แย้งคัดค้านคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งฉบับวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๔๔ และขอให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยที่ ๒ และที่๓ อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ที่ขอให้เรียกนายพรเทพ แซ่โค้ว นายสมศักดิ์ ประภาสพงษ์ นายชัยวงศ์ จันทร์รุจิพัฒน์ และนายสุทธิ ตันติพิสิฐกุล เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ (๑) จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์เช่นกัน ย่อมมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์นี้เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๖ วรรคหนึ่ง จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ
นายทวี ประจวบลาภ ผู้ช่วย
นางสาวสุดรัก สุขสว่าง ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายชัยรัตน์ เบ็ญจะมโน ผู้ช่วยฯ/ตรวจ