แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วแม้ในชั้นอุทธรณ์จำเลยจะอุทธรณ์ว่าโจทก์หมดสิทธิเรียกร้องตามมาตรา 1374, 1375 และ1382 ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะยกมาตรา 164 ขึ้นมาปรับแก่คดีได้ เพราะจำเลยได้บรรยายข้อเท็จจริงในอุทธรณ์ไว้โดยชัดแจ้งแล้ว การจะปรับบทกฎหมายมาตราใดเป็นหน้าที่ของศาล
ผู้ว่าราชการจังหวัดตัวแทนโจทก์สั่งให้จำเลยส่งมอบช้างของกลางให้แก่อำเภอเพื่อขายทอดตลาดตามพระราชบัญญัติรักษาช้างป่า พ.ศ. 2464อายุความต้องเริ่มนับแต่ พ.ศ. 2494 อันเป็นวันที่สั่งให้จำเลยส่งมอบเพราะตั้งแต่วันที่สั่งให้ส่งนั้น โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับจำเลยได้แล้ว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมกันส่งมอบช้างคืน มูลแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยคนอื่นยื่นคำให้การต่อสู้เรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59(1) ให้ถือว่าจำเลยทำแทนซึ่งกันและกัน จำเลยอื่นจึงได้รับผลแห่งอายุความด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายฟื้นซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ได้เข้าหุ้นทำสัญญาจับช้างป่าในท้องที่จังหวัดชุมพร โดยนายฟื้นได้ทำหนังสือสัญญาทัณฑ์บนต่อข้าหลวงประจำจังหวัด (ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร) ซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์เพื่อตั้งคอกจับช้างป่า ในนามของตนเองแทนจำเลยทั้งหมด ในหนังสือสัญญาข้อ 7 มีความว่า ถ้าช้างที่จับได้เป็นช้างอุทาม (ช้างมีเจ้าของแต่พลัดเข้าป่าไป) ก็ให้ประกาศหาเจ้าของ ไม่มีเจ้าของก็ให้ตกเป็นสิทธิแก่ผู้จับ เว้นแต่เป็นช้างที่ต้องห้ามตามสัญญาทัณฑ์บนข้อ 5 คือ ช้างชรา ช้างมีท้องลูก ช้างมีลูกอ่อนและ ช้างมีขนาดต่ำกว่า 1 เมตร 50 เซนติเมตร นายฟื้นกับพวกได้ตั้งคอกจับช้างป่าได้รวม 22 เชือก เป็นช้างอุทามรวมอยู่ด้วย 7 เชือก โดยเฉพาะช้างอุทามมีชื่อ พังว่าว เป็นช้างแม่ลูกอ่อนพลายสมควร พลายสมบุญ และพังพริก เป็นช้างเล็กสูงไม่เกิน 1 เมตร 50 เซนติเมตร ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรจึงมีคำสั่งให้ช้างทั้ง 4 เชือกตกเป็นของหลวง ให้นายฟื้นและนายหลินจำเลยที่ 1 ส่งมอบช้างให้แก่ทางราชการ แต่นายฟื้นถึงแก่กรรมเสียก่อนและจำเลยที่ 1 ไม่ยอมส่งมอบ อ้างว่าช้างที่ส่งมอบตกอยู่แก่หุ้นส่วนคนอื่น ๆ โจทก์เรียกร้องไปยังจำเลย จำเลยไม่ยอมคืน ขอให้ศาลบังคับร่วมกันส่งช้างทั้งหมดคืนหากส่งไม่ได้ให้ร่วมกันใช้เงินแทนตามราคาช้าง 55,000 บาท
จำเลยที่ 4, 10, 11 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 5, 6, 7, 8 ให้การว่า จำเลยทั้ง 4 เป็นเพียงลูกจ้างของนายฟื้นไม่ได้เป็นหุ้นส่วน จำเลยได้ช้างพังว่าวและพลายสมควรเป็นค่าจ้างโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยครอบครองช้างด้วยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลา 13 ปีเศษฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเคลือบคลุม
จำเลยนอกนั้นให้การทำนองเดียวกันกับจำเลยดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทุกคน (เว้นจำเลยที่ 2, 12) ร่วมกันรับผิดคืนช้างพังว่าวและพลายสมควรให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ส่วนจำเลยที่ 2, 12 ให้ยกฟ้อง
จำเลยทุกคนเว้นจำเลยที่ 2, 12 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3, 8, 10 เสียด้วยถ้าจำเลยที่ 1, 4, 5, 6, 7, 9 ไม่สามารถคืนช้างพังว่าว ช้างพลายสมควรแก่โจทก์ก็ให้ใช้ราคาช้างพังว่าว 12,000 บาท ช้างพลายสมควร 17,000 บาท
จำเลยดังกล่าวฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ขาดอายุความแล้ว แม้ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยจะอุทธรณ์ว่าโจทก์หมดสิทธิเรียกร้องตามมาตรา 1374, 1375 และ 1382 ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าบทมาตราเหล่านั้นจะนำมาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะยกมาตรา 164 ขึ้นมาปรับแก่คดีได้ เพราะจำเลยได้บรรยายข้อเท็จจริงในอุทธรณ์ไว้โดยชัดแจ้งแล้ว การจะปรับบทกฎหมายมาตราใดเป็นหน้าที่ของศาล และคดีนี้จำเลยก็ยกต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ยกอายุความตามมาตรา 164 ขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้จำเลยจึงไม่ได้รับประโยชน์ในเรื่องอายุความนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และเห็นว่าอายุความในคดีนี้ต้องเริ่มนับตั้งแต่ พ.ศ. 2494 อันเป็นวันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรสั่งให้จำเลยส่งมอบช้างของกลางให้แก่อำเภอเพื่อขายทอดตลาด เพราะตั้งแต่วันที่สั่งให้จำเลยส่งมอบช้างนั้น โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับจำเลยได้แล้ว เมื่อนับอายุความตั้งแต่ พ.ศ. 2494 ถึงวันฟ้องเกิน 10 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 แล้ว
ส่วนจำเลยที่ 4 และ 11 ที่ขาดนัดยื่นคำให้การจะได้รับผลในเรื่องอายุความด้วยหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมกันส่งช้างคืน มูลแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้การที่จำเลยคนอื่นยื่นคำให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59(1) ให้ถือว่าจำเลยทำแทนซึ่งกันและกันจำเลยที่ 4 ที่ 11 จึงได้รับผลแห่งอายุความด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้ยกฟ้องโจทก์