คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกเป็นจำเลยว่าผิดสัญญาหุ้นส่วนและไม่แบ่งปันผลกำไร ขอให้ใช้เงินคืน ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยจงใจและใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงให้โจทก์ต้องรับภาระในการลงทุนที่หนักกว่าที่โจทก์จะยอมรับโดยปกติ โดยโจทก์ต้องออกเงินลงทุนในการเลี้ยงกบไปถึง 131,377 บาท ขอให้จำเลยใช้เงินคืนโจทก์จำนวนครึ่งหนึ่ง ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยสืบเนื่องมาจากมูลฐานและข้ออ้างอย่างเดียวกันคือ โจทก์และจำเลยเป็นหุ้นส่วนทำฟาร์มเลี้ยงกบกันหรือไม่ และเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกมาก็เป็นเงินลงหุ้นตามสัญญาหุ้นส่วนที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า โจทก์และจำเลยได้ร่วมกันลงทุนทำฟาร์มเลี้ยงกบอันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว เมื่อคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์มารื้อร้องฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2545 จำเลยพูดจาหว่านล้อมชักชวนโจทก์ให้ร่วมลงทุนทำฟาร์มเลี้ยงกบ โดยจำเลยอวดอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงและบอกโจทก์ว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการเลี้ยงที่คุ้มค่า โจทก์หลงเชื่อจึงร่วมลงทุนโดยโจทก์และจำเลยตกลงกันว่าจะลงทุนกันคนละครึ่ง แต่จำเลยหลอกลวงให้โจทก์ออกเงินลงทุนแต่เพียงผู้เดียว เป็นค่าเช่าที่ดินสำหรับทำฟาร์มเลี้ยงกบ ค่าวัสดุอุปกรณ์การทำบ่อเลี้ยงและค่าอาหารกบ รวมเป็นเงิน 95,377 บาท และค่าจ้างคนงานเป็นเงิน 36,000 บาท รวมเงินลงทุนที่โจทก์จ่ายไปก่อนเป็นเงิน 131,377 บาท จำเลยในฐานะผู้ลงทุนร่วมกับโจทก์จึงต้องคืนเงินครึ่งหนึ่งเป็นจำนวน 65,688 บาทแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 65,688 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมจำเลยเคยฟ้องโจทก์ในข้อหาผิดสัญญาร่วมลงทุนทำฟาร์มเลี้ยงกบและเรียกเงินคืน ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์คดีนี้ชำระเงินให้แก่จำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 661/2547 คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 661/2547 ของศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 661/2547 ของศาลชั้นต้นหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
โจกท์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟ้งได้เป็นยุติว่า เดิมจำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยเรื่องผิดสัญญาร่วมลงทุนและเรียกเงินลงทุนคืน จำเลย (โจทก์คดีนี้) ให้การว่า จำเลยเป็นผู้ออกเงินลงทุนในการเลี้ยงกบแต่เพียงผู้เดียวโดยโจทก์หลอกลวงจำเลยว่าจะนำเงินมาร่วมลงทุนครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยออกเงินลงทุนไปก่อน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ (จำเลยคดีนี้) ไม่ได้ออกเงินลงทุนคนละครึ่งตามที่ตกลงกันไว้ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดข้อตกลง ทั้งการเลี้ยงกบพิพาทก็ขายกบได้เงิน 46,800 บาท จึงเป็นการเลี้ยงที่ขาดทุน เมื่อนำเงินลงทุนของโจทก์และจำเลย (โจทก์คดีนี้) มารวมเป็นต้นทุนโดยโจทก์ลงทุนไป 22,149 บาท จำเลยลงทุน 95,377 บาท คิดเป็นเงินลงทุนรวม 117,526 บาท เมื่อคำนวณไปตามสัดส่วนที่ลงทุนแล้วเห็นสมควรให้โจทก์ได้รับเงินทุนคืนจำนวน 8,800 บาท พิพากษาให้จำเลย (โจทก์คดีนี้) ชำระเงิน 8,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (จำเลยคดีนี้) ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 661/2547 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 661/2547 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เว้นแต่…” เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 661/2547 ของศาลชั้นต้น จำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกเป็นจำเลยว่าผิดสัญญาหุ้นส่วนและไม่แบ่งปันผลกำไรขอให้ใช้เงินคืน ซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือโจทก์กับจำเลยเป็นหุ้นส่วนทำฟาร์มเลี้ยงกบด้วยกันและจำเลยไม่คืนเงินลงทุนและแบ่งกำไรให้โจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์ (จำเลยคดีก่อน) ฟ้องจำเลย (โจทก์คดีก่อน) ว่า จำเลยจงใจและใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงให้โจทก์ต้องรับภาระในการลงทุนที่หนักกว่าที่โจทก์จะยอมรับโดยปกติโดยโจทก์ต้องออกเงินลงทุนในการเลี้ยงกบไปถึง 131,377 บาท ขอให้จำเลยใช้เงินคืนโจทก์จำนวนครึ่งหนึ่ง แม้ข้อหาของโจทก์ในคดีก่อนจะเป็นเรื่องผิดสัญญาหุ้นส่วนและขอให้ใช้เงินคืน และข้อหาในคดีนี้โจทก์จะเปลี่ยนแปลงตั้งรูปคดีใหม่เป็นเรื่องกลฉ้อฉลก็ตาม แต่แท้ที่จริงประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยก็สืบเนื่องมาจากมูลฐานและข้ออ้างอย่างเดียวกันคือ โจทก์และจำเลยเป็นหุ้นส่วนทำฟาร์มเลี้ยงกบกันหรือไม่ และเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกมาก็เป็นเงินลงหุ้นตามสัญญาหุ้นส่วนที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า โจทก์และจำเลยได้ร่วมกันลงทุนทำฟาร์มเลี้ยงกบตามส่วนที่ลงหุ้น อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว เมื่อคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์มารื้อร้องฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจกท์มานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share