คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3508/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อการซื้อขายรายพิพาทที่จำเลยกระทำต่อผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์มีการชำระเงินสดให้เพียง 100,000 บาท ส่วนราคารถที่เหลืออีก 1,416,000 บาท ผู้ซื้อได้ชำระเป็นเช็ค แม้จะเป็นการผิดระเบียบการขายรถยนต์และข้อบังคับในการ ปล่อยรถยนต์ตามหลักเกณฑ์ที่โจทก์วางไว้ ซึ่งปรากฏต่อมาว่า โจทก์ผู้เป็นนายจ้างไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน แต่การที่ผู้ซื้อได้นำเช็ค ฉบับใหม่มาเปลี่ยนถึงสองครั้ง และโจทก์ไม่สามารถ เรียกเก็บเงินตามเช็คที่นำมาแลกเปลี่ยนได้ โจทก์จึง ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีแก่ผู้ซื้อ พฤติการณ์ที่โจทก์กระทำต่อผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกค้าถือได้ว่า โจทก์ยอมรับเอาประโยชน์จากการกระทำของจำเลยซึ่งเป็น ลูกจ้างแล้วและไม่ถือว่าจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์ ทั้งเป็น กรณีที่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 แต่กรณีมิใช่เป็นเรื่องตัวการให้สัตยาบันในการขายรถยนต์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในค่าขาดราคาจำเลยอื่นซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย เมื่อหนี้รายนี้เป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีเหตุที่ศาลฎีกาควรพิพากษาให้จำเลยที่มิได้อุทธรณ์ให้ได้รับผลเป็นคุณตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เคยเป็นลูกจ้างของโจทก์มีหน้าที่ขายรถยนต์ให้แก่ลูกค้าของโจทก์ตามระเบียบข้อบังคับในการขายรถยนต์ของโจทก์ จำเลยที่ 2 เคยเป็นลูกจ้างของโจทก์ ครั้งสุดท้ายตำแหน่งผู้จัดการสาขา มีหน้าที่ในการบริหารการขายรถยนต์ ควบคุมและบริหารบุคลากรในสาขาเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบและข้อบังคับของโจทก์ รวมทั้งมีอำนาจในการอนุมัติการขายรถยนต์และอนุมัติการปล่อยรถยนต์ที่ขายส่งมอบให้แก่ลูกค้าซึ่งปฏิบัติตามเงื่อนไขและระเบียบการขายของโจทก์เรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 3 และที่ 4เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ยินยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในความเสียหายที่จำเลยที่ 1ก่อขึ้นต่อโจทก์ จำเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ไว้ต่อโจทก์ ยินยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2ในความเสียหายที่ก่อขึ้นต่อโจทก์จนครบถ้วน ระหว่างที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้างของโจทก์จำเลยทั้งสองได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความบกพร่องและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยจำเลยที่ 1 ขายรถยนต์พร้อมอุปกรณ์สี่คันให้แก่บริษัทแจ้งวัฒนะมอเตอร์คาร์ จำกัด รวมราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์ทั้งสิ้น 1,516,000 บาท จำเลยทั้งสองร่วมกันขายรถยนต์ผิดระเบียบการขายรถยนต์และข้อบังคับในการปล่อยรถยนต์ตามหลักเกณฑ์ที่โจทก์วางไว้ โดยร่วมกันส่งมอบรถยนต์ให้แก่บริษัทแจ้งวัฒนะมอเตอร์คาร์ จำกัด ขณะที่ลูกค้ายังไม่ได้ชำระราคาครบถ้วน ซึ่งตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์จำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์ให้แก่ลูกค้าไม่ได้ การที่จำเลยทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของโจทก์ดังกล่าว เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่ได้รับชำระค่ารถยนต์พร้อมอุปกรณ์ในส่วนที่เหลือจำนวน 1,416,000 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,723,390 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 1,416,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ให้การว่า ในการขายรถยนต์ให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและได้อนุมัติตามที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานขายแจ้งว่าได้ตรวจสอบลูกค้าและรับเงินมัดจำกับค่ารถยนต์ส่วนที่เหลือทั้งหมดเรียบร้อยแล้วจำเลยที่ 1 ยืนยันว่า ลูกค้าที่ซื้อเป็นลูกค้าประจำของจำเลยที่ 1 และดำเนินการขายเสนอเรื่องมาตามขั้นตอนให้จำเลยที่ 2 อนุมัติ จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวที่ปฏิบัติผิดหน้าที่ พนักงานขายจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อโจทก์โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกล่าวคือโจทก์ถือเอาการชำระหนี้ตามเช็คเป็นการชำระหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมื่อเช็คทั้งสามฉบับถึงกำหนดชำระ โจทก์ได้นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอากับบริษัทแจ้งวัฒนะมอเตอร์คาร์จำกัด ลูกค้า แต่กลับเรียกให้ผู้จัดการบริษัทดังกล่าวมาตกลงแลกเปลี่ยนเช็คฉบับใหม่ให้โจทก์ โจทก์ตกลงกับบริษัทดังกล่าวเองที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ โดยไม่บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2รับทราบ ถือว่าโจทก์ยอมรับในการอนุมัติปล่อยรถยนต์ทั้งสี่คันของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 1 เสนอขออนุมัติมาตามขั้นตอนเมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ โจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน คดีอยู่ระหว่างการจับตัวผู้กระทำความผิดเมื่อโจทก์เห็นว่าไม่สามารถจับตัวได้จึงมาฟ้องจำเลยขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 1มีฐานะเป็นเพียงพนักงานขายของโจทก์ ไม่มีอำนาจหน้าที่ให้สินเชื่อแก่ลูกค้าหรืออนุมัติการปล่อยรถยนต์ให้แก่ลูกค้ารถยนต์ทั้งสี่คันขายให้แก่บริษัทแจ้งวัฒนะมอเตอร์คาร์ จำกัดซึ่งเป็นลูกค้าประจำของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 เสนอเรื่องการขายผ่านผู้บังคับบัญชาคือ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ปล่อยรถยนต์ไปขณะยังไม่ได้รับเงินสดจึงเป็นความผิดของจำเลยที่ 2ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์เพียงผู้เดียว โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต เพราะโจทก์ยอมรับเอาเช็คทั้งสามฉบับที่ลูกค้าชำระค่ารถยนต์แต่เมื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ โจทก์ก็ยอมรับเช็คสองฉบับที่ลูกค้าเปลี่ยนให้ใหม่ครั้นเช็คสองฉบับหลังเรียกเก็บเงินไม่ได้อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1และที่ 2 ตามฟ้องเป็นทั้งการฝ่าฝืนสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ให้แก่ลูกค้าโดยยังไม่ได้รับชำระราคาครบถ้วนนั้นเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับในการปล่อยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเท่ากับราคารถยนต์ที่ยังไม่ได้รับชำระจากลูกค้าเป็นเงิน 1,416,000 บาท และตามพฤติการณ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีส่วนประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 กับจำเลยที่ 5 และที่ 6ได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 และที่ 2ไว้ต่อโจทก์โดยยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2โดยไม่จำกัดจำนวนแล้ว จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2537 เป็นต้นไปพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,416,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20เมษายน 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า เห็นควรพิจารณาอุทธรณ์จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ในปัญหาที่ว่า โจทก์ในฐานะตัวการได้ให้สัตยาบันในการขายรถยนต์ทั้งสี่คันที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ดำเนินการขายไปนั้นว่าถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 หรือไม่ เสียก่อนเมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่าการซื้อขายรายนี้มีการชำระเงินสดให้เพียง 100,000 บาทส่วนราคารถที่เหลืออีก 1,416,000 บาท บริษัทแจ้งวัฒนะมอเตอร์คาร์จำกัด ผู้ซื้อได้ชำระเป็นเช็คจำนวน 3 ฉบับ ซึ่งปรากฏต่อมาว่าโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้ซื้อได้นำเช็คฉบับใหม่มาแลกเปลี่ยนเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินถึงสองครั้ง แต่โจทก์ก็ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คที่นำมาแลกเปลี่ยนได้ ทั้งโจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีบริษัทแจ้งวัฒนะมอเตอร์คาร์จำกัด ผู้ซื้อ ดังนี้พฤติการณ์ที่โจทก์กระทำต่อลูกค้ารายนี้ถือได้ว่าโจทก์ยอมรับเอาประโยชน์จากการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างแล้ว และไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาต่อโจทก์ ทั้งเป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 แต่กรณีดังกล่าวนี้มิใช่เรื่องตัวการให้สัตยาบันในการขายรถยนต์ดังที่จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 อุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก เมื่อจำเลยที่ 1และที่ 2 ไม่ต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย และหนี้รายนี้เป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีเหตุที่ศาลฎีกาควรพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ที่มิได้อุทธรณ์ให้ได้รับผลเป็นคุณเช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 5และที่ 6 โดยให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ด้วย

Share