คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3507/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์โดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยและมิได้ฟังคำคัดค้านของจำเลยก่อน เป็นการไม่ชอบเป็นการกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคดีผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 นั้น แต่จำเลยมิได้ยื่นคำคัดค้านเสียภายในแปดวันนับแต่วันที่จำเลยทราบ จำเลยจึงยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับชื่อโจทก์ไม่ได้ เพราะเป็นนิติบุคคลคนละคน มิใช่เป็นการแก้ชื่อให้ถูกต้อง แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์ประเด็นข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
การฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิอย่างหนึ่ง การที่โจทก์แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเป็นเพียงเปลี่ยนสภาพตามกฎหมายจากบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ถึงแม้ว่า บริษัทจำกัดเดิมหมดสภาพไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 184 แต่บริษัทมหาชนจำกัดที่เกิดจากการแปรสภาพก็ได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของบริษัทจำกัดเดิมทั้งหมดตามมาตรา 185 โจทก์จึงไม่ต้องมอบอำนาจในการฟ้องคดีและแต่งทนายความใหม่อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 586,882.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี ของต้นเงิน 522,765.07 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระเงิน 2,165,717.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี ของต้นเงิน 1,857,860.99 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้จำเลยรับผิดใช้เงินส่วนที่ขาดจนครบถ้วน

จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 586,882.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี ของต้นเงิน 522,765.07 บาท และชำระเงิน 2,165,717.11 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปีของต้นเงิน 1,857,860.99 บาท แก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จหากไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 22557,23553 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากไม่พอให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนครบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มอบอำนาจให้นายปกรณ์ กิจธิคุณ ดำเนินคดีแทน ต่อมาวันที่ 13 พฤษภาคม 2536 โจทก์จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2530และวันที่ 2 สิงหาคม 2531 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน 700,000 บาท และจำนวน2,300,000 บาท ตามลำดับ โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 22557 และ 23553 มาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ดังกล่าวในวงเงินแปลงละ 1,500,000 บาท มีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยยอมรับผิดใช้หนี้ส่วนที่ขาดจนครบ จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยแล้ว คำนวณถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมฉบับแรกจำนวน 586,882.76 บาท ตามสัญญากู้ยืมฉบับหลังจำนวน 2,165,717.11 บาท

มีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์โดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยและมิได้ฟังคำคัดค้านของจำเลยก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคดีผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ซึ่งคู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใดก่อนมีคำพิพากษาแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ตามวรรคสองของมาตรา 27 ดังกล่าว ปรากฏตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2536 ว่าศาลชั้นต้นสั่งคำร้องเมื่อวันที่ 11 เดือนเดียวกัน และจำเลยรับสำเนาคำร้องเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2536 ดังนั้น จำเลยย่อมทราบว่าศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์แล้วตั้งแต่วันดังกล่าว แต่จำเลยมิได้ยื่นคำคัดค้านเสียภายในแปดวันนับแต่วันที่จำเลยทราบ จำเลยจึงยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

จำเลยฎีกาข้อต่อมาว่า โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับชื่อโจทก์ไม่ได้เพราะเป็นนิติบุคคลคนละคน มิใช่เป็นการแก้ชื่อให้ถูกต้อง เห็นว่า จำเลยมิได้อุทธรณ์ประเด็นข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และทนายโจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ต่อไปหลังจากโจทก์จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้วเห็นว่า การที่โจทก์แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเป็นเพียงเปลี่ยนสภาพตามกฎหมายจากบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบริษัทมหาชนจำกัดตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ถึงแม้ว่าบริษัทจำกัดเดิมหมดสภาพไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 184 แต่บริษัทมหาชนจำกัดที่เกิดจากการแปรสภาพก็ได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของบริษัทจำกัดเดิมทั้งหมดตามมาตรา 185 การฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิโจทก์ซึ่งจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดจึงได้รับสิทธิในการฟ้องคดีของบริษัทจำกัดเดิม โจทก์จึงไม่ต้องมอบอำนาจในการฟ้องคดีและแต่งทนายความใหม่การดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share