แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตำรวจได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เสมียนเปรียบเทียบ และได้ทำงานในหน้าที่นั้น แม้ไม่ได้เซ็นทราบคำสั่งถือว่าได้ทราบการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่แล้วการแก้หรือลงจำนวนเงินในสำเนาใบเสร็จให้น้อยลงกว่าต้นฉบับ แล้วส่งเงินต่ำกว่าจำนวนที่ได้รับจริง เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกตาม มาตรา147 ฐานปลอมเอกสารในหน้าที่ของตนตาม มาตรา161,266 ต่างกระทงแต่ละรายที่ได้กระทำ ไม่ใช่ มาตรา162 ซึ่งเป็นการทำเอกสารเท็จ การกระทำก่อนใช้ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ให้ลงโทษตามกระทงที่หนักที่กระทำหลังจากนั้นต้องลงโทษทุกกรรมในกระทงความผิด ตามมาตรา161,266 ลงโทษตาม มาตรา 266 ซึ่งเป็นบทหนัก
จำเลยฎีกาว่า ระเบียบของกรมตำรวจให้นายตำรวจผู้ปกครองสถานีตำรวจรับผิดชอบในเงินค่าเปรียบเทียบปรับ ไม่ใช่หน้าที่ของจำเลยซึ่งเป็นเสมียนเปรียบเทียบข้อนี้จำเลยไม่ได้อ้างในศาลชั้นต้น จำเลยปฏิเสธว่าไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินค่าปรับ จึงไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 157, 161, 162, 266, 268, 83 ก่อนแก้ไขมาตรา 91 รวมกระทงลงโทษทุกกรรมจำคุก 8 ปี ให้คืนเงินที่ยังขาด 33,245 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 147, 161, 162, 266, 268, 83,แก้ไข พ.ศ. 2502 มาตรา 3 กำหนดโทษคงเดิม จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิ์มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยให้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าเสมียนเปรียบเทียบเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน2510 และแต่งตั้งพลตำรวจสมัครจำลองเป็นเสมียนเปรียบเทียบประมาณเดือนกันยายนปีเดียวกัน เสมียนเปรียบเทียบมีหน้าที่เขียนข้อความในบันทึกการเปรียบเทียบ เขียนข้อความในใบเสร็จรับเงินค่าปรับ รับเงินค่าปรับและเก็บรักษาเงินค่าปรับรวบรวมนำส่งกองคลัง กรมตำรวจ เป็นประจำทุกวันระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน 2510 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2514 เงินค่าปรับในคดีเปรียบเทียบของสถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิ์ขาดไปจำนวน 98,245 บาท รายละเอียดตามบัญชีการตรวจสอบเงินเปรียบเทียบปรับ จ.15 เหตุที่เงินค่าปรับขาดไปเนื่องจากการแก้หรือลงจำนวนเงินค่าปรับในสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าปรับให้น้อยลงกว่าที่รับไว้จริงตามต้นฉบับใบเสร็จ โดยนำส่งเงินตามจำนวนที่ต่ำกว่าที่รับไว้จริงแก่กองคลัง กรมตำรวจ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานเพราะยังมิได้เซ็นรับทราบคำสั่ง ข้อนี้ตามบัญชี จ.15 จำเลยเริ่มทำใบเสร็จรับเงินค่าปรับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2510 ตลอดมาการที่จำเลยเข้าปฏิบัติหน้าที่เสมือนเปรียบเทียบย่อมถือได้ว่าจำเลยทราบคำสั่งแต่งตั้งแล้ว จำเลยจะเซ็นรับทราบคำสั่งหรือไม่หาใช่ข้อสำคัญไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาต่อไปว่า กรมตำรวจวางระเบียบการเก็บรักษาเงินค่าเปรียบเทียบปรับ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของนายตำรวจซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ปกครองสถานีตำรวจหรือหน่วยงานนั้น จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องรับผิดข้อนี้ในศาลชั้นต้นจำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินค่าปรับและทำใบเสร็จรับเงินปรับ จำเลยมิได้โต้เถียงเลยว่าการเก็บรักษาเงินค่าเปรียบเทียบปรับไม่ใช่หน้าที่ของเสมียนเปรียบเทียบ ข้อฎีกาของจำเลยจึงมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยกับพลตำรวจสมัครจำลองร่วมกันแก้ไขจำนวนเงินในสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าปรับให้ต่ำกว่าที่รับจริง แล้วเบียดบังเงินค่าปรับที่ขาดจำนวนเป็นประโยชน์ตนหรือไม่ ในเรื่องนี้ตามบัญชีการตรวจสอบเงินเปรียบเทียบปรับ จ.15 ซึ่งจำเลยบันทึกรับว่าถูกต้อง รายการค่าปรับที่ขาดโดยจำเลยเป็นผู้เขียนใบเสร็จรับเงินค่าปรับมีประมาณ 1,116 ฉบับนอกนั้นพลตำรวจสมัครจำลองเป็นผู้เขียน สำเนาใบเสร็จรับเงินค่าปรับบางส่วนที่โจทก์นำสืบถึงวิธีการแก้ไขจำนวนเงินค่าปรับ เช่นตามสำเนาใบเสร็จ จ.6, จ.13 จำเลยก็รับว่าเป็นผู้เขียน ปรากฏตามบันทึกด้านหลังใบเสร็จ ส่วนสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าปรับ จ.4, จ.8, จ.10 กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจพิสูจน์แล้วเชื่อว่าเป็นลายมือของจำเลย ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ จ.17, จ.18และยังได้ความจากรายงานการตรวจพิสูจน์ต่อไปว่า ตามสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าปรับ จ.6, จ.13 ข้อความช่องจำนวนเงินที่เป็นตัวอักษรในต้นขั้วใบเสร็จและสำเนาใบเสร็จเขียนคนละครั้งส่วนสมุดใบเสร็จรับเงินของกลางมีร่องรอยการขูดลบตรงช่องจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขและตัวอักษรบางส่วน พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าในการเขียนใบเสร็จรับเงินค่าปรับ มิได้เขียนจำนวนเงินในต้นฉบับและสำเนาในคราวเดียวกัน แต่เขียนจำนวนเงินที่รับจริงในต้นฉบับมอบให้ผู้ต้องหาไปก่อนแล้วเขียนจำนวนเงินในสำเนาให้ต่ำลงในภายหลัง หรือหากเขียนจำนวนเงินตรงกันในคราวเดียว ก็จะขูดลบแก้ไขสำเนาใบเสร็จให้ต่ำลงในภายหลังจำเลยเป็นผู้เขียนใบเสร็จรับเงินค่าปรับที่ขาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,116 ฉบับโดยทำหน้าที่ร่วมกับพลตำรวจสมัครจำลองเป็นเวลาถึง 4 ปีเศษ การแก้ไขสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าปรับอยู่ในความรู้เห็นของจำเลยและพลตำรวจสมัครจำลอง ไม่มีเหตุที่จะเข้าใจว่าพลตำรวจสมัครจำลองกระทำแต่ผู้เดียวดังที่จำเลยนำสืบ คดีฟังได้ชัดว่าจำเลยกับพลตำรวจสมัครจำลองร่วมกันแก้ไขจำนวนเงินในสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าปรับให้ต่ำกว่าที่รับจริงแล้วเบียดบังเงินค่าปรับที่ขาดจำนวนเป็นประโยชน์ตน ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
เกี่ยวกับการปรับบทลงโทษจำเลย คดีฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองฐาน คือฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 หลายกรรม และฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 161, 266 อีกหลายกรรม ส่วนความผิดตามมาตรา 162 เป็นเรื่องเจ้าพนักงานทำเอกสารเท็จมิใช่ทำเอกสารปลอม และความผิดตามมาตรา 268 เป็นเรื่องใช้หรืออ้างเอกสารปลอมซึ่งโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง จึงลงโทษจำเลยตามมาตรา 162 และ 268 ไม่ได้
อนึ่ง จำเลยกระทำผิดในวันที่ 23, 25 และ 30 พฤศจิกายน 2514อีก 3 วัน ปรากฏตามบัญชี จ.15 แผ่นที่ 47 อันอยู่ในระยะที่มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ใช้บังคับการกระทำผิดในช่วงนี้จึงต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 3 หลายกรรม และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161, 266, 83 อีกหลายกรรม ซึ่งต้องลงโทษตามมาตรา 266 อันเป็นบทหนัก ความผิดที่จำเลยกระทำก่อนวันที่22 พฤศจิกายน 2514 ให้ลงโทษเฉพาะกระทงความผิดตามมาตรา 147ที่หนักที่สุด ส่วนความผิดที่จำเลยกระทำภายหลังต่อมาให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด เกี่ยวกับกำหนดโทษและการใช้เงินคืนให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”