แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำเด็กชาย ณ. เข้าสืบยังอยู่ระหว่างการนัดสืบพยานประเด็นโจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้แถลงหมดพยานทั้งหมดแม้จำเลยจะนำพยานเข้าสืบบ้างแล้วแต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามโจทก์นำพยานมาสืบเพิ่มในกรณีนี้ทั้งการที่โจทก์นำเด็กชาย ณ. เข้าสืบเกี่ยวกับสาเหตุมรณกรรมของ ส.ผู้เอาประกันชีวิตไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะพยานที่จำเลยนำเข้าสืบก่อนเด็กชาย ณ. ไม่ได้นำสืบถึงสาเหตุมรณกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด และจำเลยมีโอกาสนำพยานมาสืบต่อเพื่อหักล้างคำพยานของเด็กชาย ณ. จึงรับฟังคำพยานของเด็กชาย ณ. ได้
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 3ซึ่งเป็นภรรยาไปเก็บเบี้ยประกันภัย เมื่อโจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยให้จำเลยที่ 3 แม้จำเลยที่ 1 จะยังไม่ออกหลักฐานการรับชำระเบี้ยประกันภัยให้ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยแล้วโดยผ่านทางจำเลยที่ 2.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับประกันชีวิตนายสุทธีไชยสงคราม โดยตกลงว่าถ้าตายโดยเหตุธรรมดาจำเลยที่ 1 จะชดใช้เงิน 12,290 บาท ถ้าตายด้วยอุบัติเหตุจะชดใช้เงิน 100,000 บาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิด นายสุทธีและโจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยล่วงหน้าครั้งละ 6 เดือนตลอดมาครั้งสุดท้ายชำระให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เก็บเงินประจำเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2525 จำเลยที่ 3 อ้างว่าเมื่อได้ใบเสร็จรับเงินจากสำนักงานแล้วจะนำไปมอบให้ นายสุทธีถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุในระหว่างอายุสัญญาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2525 โจทก์ขอรับเงิน 100,000 บาท จำเลยไม่ชำระโดยอ้างว่าตัวแทนไม่นำเบี้ยประกันภัยไปส่ง ขอให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ร่วมกันชำระเงิน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ขณะนายสุทธีถึงแก่กรรมกรมธรรม์ประกันชีวิตสิ้นผลบังคับแล้วเพราะนายสุทธีขาดส่งเบี้ยประกันภัยจำเลยที่ 1 ไม่เคยแต่งตั้งหรือเชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเก็บเบี้ยประกันภัย หากจำเลยที่ 2 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 ไปเก็บก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ผูกพันจำเลยที่ 1เพราะการชำระเบี้ยประกันภัยต้องชำระแก่ตัวแทนผู้ได้รับแต่งตั้งจากจำเลยที่ 1 และมีใบเสร็จรับเงินนายสุทธีถึงแก่กรรมเพราะการเจ็บป่วยธรรมดา โจทก์คงมีสิทธิได้รับเงินประกันชีวิตเพียง 12,290 บาท ซึ่งโจทก์ได้เรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 3 แล้วขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยมอบให้จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนไปเก็บเบี้ยประกันภัย จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจตั้งตัวแทนกรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลบังคับเพราะนายสุทธีขาดชำระเบี้ยประกันภัย นายสุทธีถึงแก่กรรมเพราะเหตุเจ็บป่วยมิใช่อุบัติเหตุ
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้จำเลยที่ 3ซึ่งเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสุทธีถึงแก่กรรมเพราะอุบัติเหตุ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำเด็กชายณรงค์ ไชยสงคราม เข้าสืบขัดต่อกฎหมายเพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ จึงรับฟังคำพยานปากนี้ไม่ได้นั้น เห็นว่าขณะโจทก์นำเด็กชายณรงค์เข้าสืบยังอยู่ระหว่างการนัดสืบพยานประเด็นโจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้แถลงหมดพยานทั้งหมด แม้จำเลยจะนำพยานเข้าสืบบ้างแล้วแต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามโจทก์นำพยานมาสืบเพิ่มในกรณีนี้ ทั้งการที่โจทก์นำเด็กชายณรงค์เข้าสืบไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะโจทก์นำสืบเด็กชายณรงค์ถึงสาเหตุมรณกรรมของนายสุทธี แต่พยานที่จำเลยนำเข้าสืบก่อนเด็กชายณรงค์ไม่ได้นำสืบถึงสาเหตุมรณกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด และจำเลยมีโอกาสนำพยานมาสืบต่อเพื่อหักล้างคำพยานของเด็กชายณรงค์ จึงรับฟังคำพยานของเด็กชายณรงค์ได้
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านายสุทธีถึงแก่กรรมเพราะประสบอุบัติเหตุและโจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ที่จำเลยที่ 2 ตัวแทนของจำเลยที่ 1 มอบหมายให้ไปเก็บ แล้ววินิจฉัยว่า แม้จำเลยที่ 1 จะยังไม่ออกหลักฐานการรับชำระเบี้ยประกันภัยให้ เมื่อฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยงวดประจำเดือนมกราคม – มิถุนายน 2525 แล้ว ตามที่จำเลยที่ 2 มอบหมาย จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยแล้วโดยผ่านทางจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนกรมธรรม์ฉบับพิพาทจึงยังไม่สิ้นผลบังคับ ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.