แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พยานหลักฐานโจทก์ได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกฝ่ายหนึ่งและจำเลยที่ 3 ที่ 5 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่งชุลมุนทำร้ายกันยังฟังไม่ได้ชัดว่าใครทำร้ายใครอย่างไร จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ในข้อหาทำร้ายร่างกายตามฟ้องไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับนายประยูรฝ่ายหนึ่ง และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6อีกฝ่ายหนึ่งได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 391, 83
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 1 เดือน และปรับคนละ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 4และที่ 6 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยคนไหนทำร้ายคนไหนพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีนางต้า นางกัลยา นางนิตย์ นางบุญญะเป็นพยานต่างเบิกความว่าได้เห็นเหตุการณ์ชุลมุนทำร้ายกัน ไม่ทราบว่าใครทำร้ายใครแน่ชัด ส่วนนายไพทูรย์พยานโจทก์เบิกความเพียงว่าเห็นพวกของนายมั่น 3คนรุมชกต่อยจำเลยที่ 3 เห็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับนายประยูรถือเก้าอี้คนละตัวยืนคุมเชิงอยู่ และเห็นนายมั่นถือไม้จำเลยที่ 1 กับนายประยูรใช้เก้าอี้ตีพยานล้มลง แล้วพยานวิ่งหนีไป แม้นายไพทูรย์เบิกความว่าเห็นจำเลยที่1 กับนายประยูรใช้เก้าอี้ตีพยาน และนายสวัสดิ์พยานโจทก์ เบิกความว่าเห็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายประยูรรุมเตะต่อยจำเลยที่ 3 เมื่อนายไพทูรย์ เดินเข้ามาในที่เกิดเหตุก็ถูกจำเลยที่ 1 และนายประยูรเอาเก้าอี้ตีนายไพทูรย์ และเห็น จำเลยที่ 1 ที่ 2ตีศีรษะจำเลยที่ 5 แต่ได้ความว่านายไพทูรย์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 นายสวัสดิ์พักอยู่บ้านคนงานของจำเลยที่ 5 แสดงว่าเกี่ยวข้องเป็นฝักเป็นฝ่ายกับจำเลยที่ 5จึงไม่มีน้ำหนักควรแก่การเชื่อถือ ศาลฎีกาเห็นว่าตามพยานหลักฐานโจทก์ได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกฝ่ายหนึ่ง และจำเลยที่ 3 ที่ 5 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่งชุลมุนทำร้ายกัน ยังฟังไม่ได้ชัดว่าใครทำร้ายใครอย่างไร จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ตามฟ้องไม่ได้
พิพากษายืน