คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3474/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยให้การและฟ้องแย้งเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งจำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์มิได้ทำคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์และเมื่อคดีเดิมศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษาเสร็จคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์จึงไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งและรื้อฟื้นพิจารณาพิพากษาประเด็นตามฟ้องแย้งใหม่หากจำเลยเห็นว่ามีสิทธิตามฟ้องแย้งก็ชอบที่จะไปฟ้องเป็นคดีใหม่ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้รับฟ้องแย้ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวเลขที่ 166/5 ซึ่งปลูกสร้างในที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 16501 และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนตึกแถวออกจากที่ดิน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ปลูกตึกแถวเลขที่ 166/1ถึง 166/7 ในที่ดินของนายบรรจบ บุญรอด โดยมีข้อตกลงว่าเจ้าของที่ดินจะต้องจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยหรือผู้ประสงค์จะเช่ามีกำหนด 25 ปี การที่โจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทจากเจ้าของที่ดินโดยรู้ว่ามีภาระติดพันและเหตุรอนสิทธิแล้วมาฟ้องจำเลยจึงเป็นการไม่สุจริต โจทก์มีหน้าที่จะต้องจดทะเบียนให้แก่จำเลยผู้ประสงค์จะเช่าตึกแถว การที่โจทก์ไม่ไปจดทะเบียนดังกล่าว ทำให้จำเลยและผู้ประสงค์จะเช่าตึกแถวขาดประโยชน์จากการประกอบธุรกิจเดือนละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท หรือหากโจทก์ไม่ประสงค์จะจดทะเบียนการเช่าตามข้อผูกพันหรือไม่อาจจดทะเบียนการเช่า เป็นเหตุให้จำเลยต้องรื้อถอนตึกพิพาทออกจากที่ดินจำเลย โจทก์และสามีจะต้องชดใช้ราคาตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยเป็นเงิน 1,500,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าตึกแถวเลขที่ 166/5 มีกำหนด25 ปี นับแต่วันจดทะเบียน ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 80 บาท ให้โจทก์ใช้ค่าขาดประโยชน์แก่จำเลยและผู้ประสงค์จะเช่าอัตราเดือนละ20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป และหากโจทก์ไม่ประสงค์จดทะเบียนการเช่าหรือไม่อาจจดทะเบียนการเช่าได้ จำเป็นต้องรื้อถอนตึกพิพาท ก็ให้โจทก์ใช้ราคาตึกแถวแก่จำเลยเป็นเงิน1,500,000 บาท
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การ แต่ไม่รับฟ้องแย้งเพราะฟ้องแย้งเป็นเรื่องบุคคลสิทธิที่จำเลยเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกไม่ใช่โจทก์ถือได้ว่าไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมให้จำเลยไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก
จำเลย อุทธรณ์ คำสั่ง ขอให้ รับฟ้อง แย้ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ว่าโจทก์จะต้องจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยตามข้อผูกพันที่จำเลยกับเจ้าของที่ดินเดิมมีต่อกัน และการที่โจทก์ไม่ไปจดทะเบียนการเช่าเป็นเหตุให้จำเลยและผู้ประสงค์จะเช่าขาดประโยชน์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามฎีกาและคำแก้ฎีกาว่า คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มิได้ทำคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์และบัดนี้คดีเดิมศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษาเสร็จคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ จึงไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งและรื้อฟื้นพิจารณาพิพากษาประเด็นตามฟ้องแย้งใหม่หากจำเลยเห็นว่ามีสิทธิตามฟ้องแย้งก็ชอบที่จะไปฟ้องเป็นคดีใหม่ได้เพราะคำพิพากษาดังกล่าวไม่ตัดสิทธิของจำเลยที่จะเรียกร้องได้ตามสิทธิของตน กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รับฟ้องแย้งของจำเลยไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ว่าโจทก์จะต้องจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยตามข้อผูกพันที่จำเลยกับเจ้าของที่ดินเดิมที่มีต่อกัน และการที่โจทก์ไม่ไปจดทะเบียนการเช่าเป็นเหตุให้จำเลยและผู้ประสงค์จะเช่าขาดประโยชน์เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share