คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3472/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าหนี้ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวนำค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าซึ่งลูกหนี้ค้างชำระในช่วงปี 2523 ถึง 2525มายื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ต่อมาลูกหนี้ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย ที่ประชุมเจ้าหนี้ยอมรับคำขอประนอมหนี้เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2534 และลูกหนี้ได้วางเงินชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ก่อนร้อยละ 35 ของจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 162,675.50บาท ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2535ปรากฏว่าก่อนที่ประชุมเจ้าหนี้จะยอมรับคำขอประนอมหนี้นั้น ได้มีประกาศกระทรวงการคลังให้ขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรให้แก่ผู้มีหน้าที่ยื่นรายการ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรซึ่งยังมิได้ยื่นรายการและชำระภาษีอากร หรือยื่นรายการและชำระภาษีอากรไว้ไม่ครบถ้วนหรือมิได้นำส่งภาษีอากรให้ครบถ้วนให้ขอชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรโดยยื่นรายการและหรือแบบชำระภาษีอากรตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด พร้อมกับชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2534 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2535โดยไม่ต้องเสียเบี้ยประกันหรือเงินเพิ่ม กระบวนพิจารณาในการขอประนอมหนี้ดังกล่าวเป็นไปตามมาตรา 45 และ 46 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งกระทำภายหลังจากมีประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้ว และลูกหนี้ก็ได้ชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ภายในกำหนดเวลาตามประกาศนั้นแล้วถือเป็นการชำระหนี้ภาษีอากรตามประกาศกระทรวงการคลังแล้ว แม้จะมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงการคลังโดยตรงก็ตาม หรือถึงแม้จะเป็นการดำเนินการในคดีล้มละลายในขั้นตอนของการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายก็ตาม แต่ก็ตรงตามวัตถุประสงค์ของประกาศกระทรวงการคลังแล้ว และกรณีนี้จะถือเป็นภาษีอากรค้างอยู่ในศาลซึ่งจะต้องมีการถอนฟ้องก่อนตามคำชี้แจงของกรมสรรพากรเกี่ยวกับประกาศดังกล่าวข้อ 4(3) ยังไม่ถนัดเพราะเจ้าหนี้ไม่อาจถอนฟ้องได้ และลูกหนี้ก็ไม่อาจร้องขอให้เจ้าหนี้ถอนฟ้องได้เพราะลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วลูกหนี้ย่อมได้รับประโยชน์จากประกาศกระทรวงการคลังโดยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ปรับและเงินเพิ่ม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2534 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้ค่าภาษีอากรเป็นเงิน 960,748.73 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้(จำเลย)ทั้งสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจำนวน 464,787.13 บาท ซึ่งลูกหนี้ที่ 1 เป็นหนี้อยู่จริง และมูลหนี้เกิดก่อนวันพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนหนี้ที่เหลือจำนวน 495,961.60 บาท ซึ่งเป็นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้นลูกหนี้ที่ 1 ได้รับประโยชน์จากประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2534 ลูกหนี้ที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดในเงินส่วนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มของภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าที่ค้างชำระ เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง เป็นเงิน 464,787.13 บาท ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนที่ขอเกินมาให้ยก
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองเป็นเงิน 464,787.13 บาท ส่วนที่ขอเกิดมาให้ยก
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม2534 เจ้าหนี้ได้นำค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าซึ่งลูกหนี้ที่ 1 ค้างชำระในช่วงปี 2523 ถึง 2525 พร้อมด้วยเบี้ยปรับและเงินเพิ่มกับภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นเงินจำนวน 960,748.73 บาทมายื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2534 ได้มีประกาศกระทรวงการคลังให้ขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรให้แก่มีหน้าที่ยื่นรายการ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรซึ่งยังมิได้ยื่นรายการและชำระภาษีอากร หรือยื่นรายการและชำระภาษีอากรไว้ไม่ครบถ้วน หรือมิได้นำส่งภาษีอากรให้ครบถ้วน ให้ขอชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรโดยยื่นรายการและหรือแบบชำระภาษีอากรตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด พร้อมกับชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2534 ถึงวันที่31 มกราคม 2535 โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม และก่อนประกาศดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2534 ลูกหนี้ทั้งสองได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายโดยระบุว่า จะชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับคำขอประนอมหนี้เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2534 ซึ่งลูกหนี้ทั้งสองได้วางเงินชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ก่อนร้อยละ35 ของจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 162,675.50 บาทต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2535 ที่เจ้าหนี้ฎีกาว่าลูกหนี้ทั้งสองไม่ได้รับประโยชน์ตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว ลูกหนี้ทั้งสองยังต้องรับผิดในส่วนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงิน 495,961.60 บาทด้วยนั้น เห็นว่า คดีนี้มีเจ้าหนี้รายเดียวและเป็นโจทก์ยื่นฟ้องขอให้ลูกหนี้ทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย เนื่องจากลูกหนี้ที่ 1ค้างชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลรายเดียวกันกับที่นำมายื่นขอรับชำระหนี้นี้ เมื่อลูกหนี้ทั้งสองถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด อำนาจในการจัดการทรัพย์สินหรือกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้ทั้งสองตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ลูกหนี้ทั้งสองหามีอำนาจดังกล่าวโดยลำพังไม่ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 22 และมาตรา 24 และการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องจัดการโดยมิให้เกิดความเสียหายแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2534 ก่อนที่จะมีประกาศกระทรวงการคลังขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2534 ลูกหนี้ทั้งสองได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายโดยระบุว่าจะชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ได้เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ ซึ่งผลการประชุมเจ้าหนี้ก็ยอมรับคำขอประนอมหนี้ดังกล่าวของลูกหนี้ทั้งสอง ต่อมาศาลก็ได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้แล้ว ซึ่งเป็นไปตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 45 และมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 และเป็นกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำภายหลังจากมีประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้วซึ่งต่อมาลูกหนี้ทั้งสองก็ได้ชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ภายในกำหนดเวลาตามประกาศกระทรวงการคลังนั้นแล้วถือเป็นการชำระหนี้ภาษีอากรที่ต้องชำระหรือนำส่งให้เจ้าหนี้ตามประกาศกระทรวงการคลังแล้ว แม้จะมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงการคลังโดยตรงก็ตาม หรือถึงแม้จะเป็นการดำเนินการในคดีล้มละลายในขั้นตอนของการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายก็ตาม แต่การชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ซึ่งเจ้าหนี้ยอมรับภายในกำหนดของประกาศกระทรวงการคลังซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ค้างชำระภาษีอากรได้ชำระภาษีอากรเสียภายในกำหนดตามประกาศโดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเพื่อที่จะได้จัดเก็บภาษีอากรเข้ามาสู่ระบบภาษีใหม่ได้อันตรงตามวัตถุประสงค์ของประกาศกระทรวงการคลังแล้ว และกรณีนี้จะถือเป็นภาษีอากรค้างอยู่ในศาลซึ่งจะต้องมีกาถอนฟ้องก่อนตามคำชี้แจงของกรมสรรพากรเกี่ยวกับประกาศดังกล่าว ข้อ 4(3) ยังไม่ถนัดเพราะคดีนี้เจ้าหนี้ได้นำหนี้ภาษีอากรค้างชำระซึ่งจำนวนได้แน่นอนแล้วมาฟ้องให้ลูกหนี้ทั้งสองล้มละลาย ซึ่งเจ้าหนี้ไม่อาจถอนฟ้องได้และลูกหนี้ทั้งสองก็ไม่อาจร้องขอให้เจ้าหนี้ถอนฟ้องได้ในขณะที่ลูกหนี้ทั้งสองถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว การที่ลูกหนี้ทั้งสองวางเงินชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ภายในระยะเวลาตามประกาศกระทรวงการคลัง ลูกหนี้ทั้งสองจึงได้รับประโยชน์ตามประกาศดังกล่าวด้วย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าลูกหนี้ทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share