คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3470/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

คดียักยอกโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดเป็นกรรมเดียวโดยระบุไว้ว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนตามฟ้องตั้งแต่วันใดถึงวันใดแล้วจำเลยเบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไปอันเป็นการชัดเจนพอที่จะให้เข้าใจได้ว่าจำเลยได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไปในระหว่างวันที่โจทก์ได้ระบุไว้ในคำฟ้องโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยเป็นหลายกระทงความผิดตามจำนวนเงินที่จำเลยรับแต่ละครั้งจึงไม่จำเป็นต้องบรรยายในคำฟ้องให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้งครั้งละเท่าใดคำฟ้องของโจทก์เป็นการครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)แล้ว จำเลยฎีกาว่าคดีนี้เหตุเกิดที่สำนักงานของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครทั้งจำเลยที่2ก็มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานครและโจทก์มิได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนการที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงชลบุรีจึงเป็นการฟ้องผิดเขตอำนาจศาลเช่นนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218 เอกสารที่โจทก์อ้างเป็นพยานหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าจำเลยที่1ตกลงจะชดใช้เงินของโจทก์ที่ขาดไปเท่านั้นไม่มีข้อความใดแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ตกลงเลิกหรือระงับการดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่1แต่ประการใดข้อตกลงตามเอกสารดังกล่าวจึงเป็นเพียงตกลงที่ชดใช้ค่าเสียหายกันในทางแพ่งเท่านั้นมิใช่เป็นการยอมความอันมีผลให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ต้องระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของโจทก์ ได้รับมอบหมายให้เก็บเงินค่าหุ้นจากสมาชิกและเงินกู้จากลูกหนี้ของโจทก์นำส่งโจทก์ จำเลยที่ 2เป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์มีหน้าที่ทำบัญชีรับเงินที่จำเลยที่ 1 รับจากสมาชิกส่งให้โจทก์ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2523 ถึงวันที่ 8 กันยายน 2525 เวลาต่อเนื่องกันจำเลยที่ 1 ได้รับเงินค่าหุ้นรายเดือนและค่าชำระหนี้เงินกู้จากสมาชิกสหกรณ์ของโจทก์หลายคราว รวมเป็นเงิน 530,745 บาท 25 สตางค์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องส่งเงินดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ได้ทำบัญชีเสนอต่อโจทก์ไม่ถูกต้องตามจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมา จำเลยทั้งสองได้เบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของตนอันเป็นการกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเหตุเกิดที่ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้อง จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 หลบหนีศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดเป็นกรรมเดียว โดยได้ระบุไว้แล้วว่าจำเลยได้รับเงินจำนวน 530,745 บาท25 สตางค์ ตั้งแต่วันใดถึงวันใดแล้วจำเลยเบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไป อันเป็นการชัดเจนพอที่จะให้เข้าใจได้ว่าจำเลยได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไปในระหว่างวันที่โจทก์ได้ระบุไว้ในคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์เช่นนี้ถือว่าได้มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดและรายละเอียดพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นการครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยเป็นหลายกระทงความผิดตามจำนวนเงินที่จำเลยรับแต่ละครั้ง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องบรรยายในคำฟ้องให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้งครั้งละเท่าใดดังที่จำเลยฎีกา จำเลยฎีกาว่า คดีนี้ เหตุเกิดที่สำนักงานของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยประสานมิตร ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครทั้งจำเลยที่ 2 ก็มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และโจทก์มิได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน การที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงชลบุรีจึงเป็นการฟ้องผิดเขตอำนาจศาลนั้น เห็นว่าเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 เอกสารหมาย จ.2 ปรากฏชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ตกลงจะชดใช้เงินของโจทก์ที่ขาดไปเท่านั้น ไม่มีข้อความใดแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ตกลงเลิกหรือระงับการดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 1 แต่ประการใด ข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.2 นั้นจึงเป็นเพียงตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหายกันในทางแพ่งเท่านั้นและถึงแม้โจทก์จะได้ฟ้องร้องเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามข้อตกลงในเอกสารดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งอันเป็นสิทธิส่วนหนึ่งของโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ได้ตามกฎหมายเท่านั้น มิใช่เป็นการยอมความอันมีผลให้สิทธิการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ต้องระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) พิพากษายืน

Share