คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3461/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยและจำเลยร่วมท้ากันให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวโดยไม่สืบพยานว่า จำเลยมีสิทธิจะไม่ขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วมหรือไม่ โดยคู่ความแถลงรับกันว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินมาก่อนจดทะเบียนสมรสกับจำเลยร่วม อันถือได้ว่าคู่ความสละประเด็นข้ออื่นในคดีแล้ว จำเลยและจำเลยร่วมจะโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันมาในฐานะหุ้นส่วน จำเลยร่วมจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นการตั้งเป็นประเด็นใหม่นอกคำท้าอีกหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อขายบ้านเลขที่ ๙๒๖/๑๘๒ พร้อมที่ดินเนื้อที่ ๑๖ ๖.๕/๑๐ ตารางวา ในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท วันทำสัญญาโจทก์วางมัดจำไว้ ๖๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากที่ดินติดจำนองจึงมิได้กำหนดวันโอนไว้ โจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินให้ในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๗ ถึงวันนัดจำเลยจะจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินให้โจทก์เพียง ๑๑ ตารางวา โจทก์ขอลดราคาลงตามส่วน จำเลยไม่ยอม ต่อมาจำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและขอริบเงินมัดจำ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่๗๕๙๔ เนื้อที่ ๑๖ ๖.๕/๑๐ ตารางวา และบ้านเลขที่ ๙๒๖/๑๘๒ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์และรับชำระราคาที่เหลือไปจากโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยตกลงขายบ้านเลขที่ ๙๒๖/๑๘๒ พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๕๙๔เนื้อที่ ๑๑ ตารางวา ให้แก่โจทก์ มิใช่เนื้อที่ ๑๖ ๖.๕/๑๐ ตารางวา ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณา นางจารึก เอ็งประเสริฐ ร้องสอดว่าเป็นภริยาจำเลยทรัพย์สินที่โจทก์ฟ้องผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของร่วมกับจำเลย จำเลยไม่มีสิทธิขายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดบอกล้างสัญญาดังกล่าวต่อโจทก์แล้วสัญญาจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอศาลอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ระหว่างสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับกันว่า โจทก์มิได้ผิดสัญญาจะซื้อขาย โจทก์ยอมซื้อที่ดินจำนวน ๑๑ ตารางวา ตามสิทธิของจำเลย จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินมาเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม๒๕๒๔ จำเลยจดทะเบียนสมรสกับจำเลยร่วมเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๕ เหตุที่จำเลยไม่ยอมขายที่ดินและบ้านให้โจทก์ เพราะจำเลยร่วมไม่ได้ให้ความยินยอมและบอกล้างสัญญาแล้ว และคู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวโดยไม่สืบพยานว่า จำเลยมีสิทธิจะไม่ขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วมหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินที่จำเลยจะขายเป็นสินส่วนตัว จำเลยจึงมีอำนาจขายได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วม พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๕๙๔เนื้อที่ ๑๑ ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ ๙๒๖/๑๘๒ ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินที่ชำระไม่ครบตามส่วน ถ้าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและจำเลยร่วมฎีก
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาว่า จำเลยและจำเลยร่วมอยู่กินฉันสามีภรรยามาก่อนที่จำเลยได้รับโอนที่ดินที่พิพาทอันเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันมาในฐานะหุ้นส่วนจำเลยร่วมจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วย ยังฟังไม่ยุติและมิได้เป็นไปตามคำท้าว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมมีสิทธิบอกล้างได้หรือไม่ ศาลควรฟังข้อเท็จจริงต่อไปมิใช่งดสืบพยานแล้วพิพากษาคดี ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลย เห็นว่าคดีนี้คู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวโดยไม่สืบพยานว่าจำเลยมีสิทธิจะไม่ขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วมหรือไม่ โดยคู่ความแถลงรับกันว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๔ จำเลยจดทะเบียนสมรสกับจำเลยร่วมเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๕ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น ถือได้ว่าคู่ความสละประเด็นอื่นในคดีแล้ว จำเลยและจำเลยร่วมจะโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันมาในฐานะหุ้นส่วน จำเลยร่วมจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วย โดยยกขึ้นตั้งเป็นประเด็นใหม่อีกหาได้ไม่ข้อโต้แย้งของจำเลยและจำเลยร่วมดังกล่าวอยู่นอกคำท้า ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามที่คู่ความตกลงกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะต้องสืบพยานโจทก์จำเลยเพื่อฟังข้อเท็จจริงกันอีก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้น ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share