คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3460/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2531 จำเลยที่ 1มีอาวุธปืนยาวคาร์ไบน์ ขนาด .30 ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2532เจ้าพนักงานตำรวจยึดอาวุธปืนคาร์ไบน์หมายเลขประจำปืน พร้อมเครื่องกระสุนปืนได้ที่บ้านของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสี่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนต่างด้าวเชื้อชาติจีนสัญชาติจีน มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศจีน เมื่อปี 2531 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 2 เข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางบริเวณตำบลถ้ำปลา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยไม่ได้รับอนุญาตหลังจากนั้นตลอดจนถึงวันที่ 2 เมษายน 2532 จำเลยที่ 2 เดินทางต่อเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยที่ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่มจังหวัดเชียงใหม่ และที่บ้านแม่สุขะ ตำบลห้วยมา อำเภอแม่ฮ่องสอนจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2531 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนยาวคาร์ไบน์ ขนาด .30 ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้จำนวน 1 กระบอก กับเครื่องกระสุนปืนคาร์ไบน์ จำนวน25 นัด ซึ่งใช้ยิงได้และเป็นอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 และตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน ร่วมกันใช้ไม้ท่อนยาว 1 เมตร เป็นอาวุธตีและใช้อาวุธมีดแทงนายผ่อ เลาจางผู้ตาย โดยมีเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจนผู้ตายถึงแก่ความตายมีผู้นำไม้ท่อนดังกล่าวมามอบให้พนักงานสอบสวนยึดเป็นของกลางและเจ้าพนักงานยึดได้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่จำเลยที่ 1มีไว้ในครอบครองดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 11, 12, 18, 62, 81ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83, 91, 92, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 4, 55, 78 ริบของกลาง ก่อนคดีนี้จำเลยที่ 2เคยต้องโทษจำคุกมีกำหนด 8 เดือน ฐานกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนและเป็นคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาตตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 919/2531 ของศาลชั้นต้น ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามกฎหมายด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 55, 78 จำคุก 5 ปี สำหรับจำเลยที่ 2มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 62, 81เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กระทงละ 6 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด2 ปี 24 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในความผิดต่อพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน ข้อหาอื่นของจำเลยทั้งสองให้ยก ของกลางให้ริบ โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ด้วย ให้จำคุกตลอดชีวิตคำรับของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นอย่างมากมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ประกอบด้วยมาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 26 ปี 12 เดือน และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาแรกตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 1ได้กระทำผิดฐานมีอาวุธปืนยาวคาร์ไบน์พร้อมเครื่องกระสุนปืนตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15พฤศจิกายน 2531 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนยาวคาร์ไบน์ขนาด .30 ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้จำนวน1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่โจทก์ฎีกาว่า ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2532 เจ้าพนักงานตำรวจยึดอาวุธปืนคาร์ไบน์มีหมายเลขประจำปืน 2907811 พร้อมเครื่องกระสุนปืนได้ที่บ้านของจำเลยที่ 1 โดยมิได้ฎีกาว่าตามพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนตามฟ้อง แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่โจทก์ฎีกาก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่คดีไม่จำต้องวินิจฉัยตามข้อฎีกาของโจทก์นี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง ในข้อหานี้ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share