คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3455/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต่อจำเลยจำเลยรับเรื่องแล้วได้ส่งไปให้กองกำกับการกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรพิจารณา ต่อมากรมตำรวจได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้วมีความเห็นว่า หลักฐานไม่เพียงพอให้เชื่อได้ว่าโจทก์ทั้งสี่เกิดในราชอาณาจักรไทย และเคยมีสัญชาติไทยมาก่อนแล้วถูกถอนสัญชาติไทยจึงให้ระงับเรื่องไว้ก่อนและได้แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่หาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่ง จำเลยได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่ทราบ และโจทก์ทั้งสี่ได้เซ็นชื่อรับทราบแล้ว แต่โจทก์ทั้งสี่ก็ไม่ส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้กรมตำรวจพิจารณาต่อไป ดังนี้กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ปฏิเสธไม่ออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ทั้งสี่อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ที่จำเลยไม่อาจออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ได้นั้น เกิดจากความบกพร่องของโจทก์ทั้งสี่ไม่ส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้กรมตำรวจตรวจสอบพิจารณาใหม่ โจทก์ทั้งสี่จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

ย่อยาว

คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องว่าโจทก์ทั้งสี่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดต่อมาถูกถอนสัญชาติไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337โจทก์ทั้งสี่ได้ไปยื่นคำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต่อจำเลยในฐานะนายทะเบียนคนต่างด้าว แต่จำเลยปฏิเสธ ขอให้สั่งให้จำเลยออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่มีคุณสมบัติที่จะขอมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่เกิดในประเทศไทย อยู่ในประเทศไทยและถูกถอนสัญชาติไทย จำเลยไม่เคยปฏิเสธที่จะออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่แต่เมื่อจำเลยได้ส่งคำร้องไปยังกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรกรมตำรวจเพื่อพิจารณา แต่จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่ได้รับแจ้งผลขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ทั้งสี่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งสี่กลับได้ความว่าเมื่อโจทก์ทั้งสี่ยื่นคำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต่อจำเลยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2529 พันตำรวจโทสมพงษ์ บุตรเวียงพันธ์นายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอวานรนิวาส ในขณะนั้นก็ได้ทำบันทึกถึงผู้กำกับการกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องไปเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปปรากฏตามบันทึกข้อความเอกสารหมาย จ.3 จ.7 จ.12 และ จ.15ไม่ปรากฏว่านายทะเบียนได้โต้แย้งหรือละเว้นที่จะปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด ซึ่งก็เจือสมกับทางนำสืบของจำเลยที่ว่า นายทะเบียนปฏิบัติหน้าที่ตามหนังสือของกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรที่ มท.0613.01/2792 ลงวันที่ 10 กันยายน 2528 และบันทึกข้อความของกระทรวงมหาดไทยที่ มท.0202/154 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2530เอกสารหมาย ล.12 และ ล.13 กล่าวคือ เมื่อรับเรื่องแล้วได้ส่งไปให้กองกำกับการกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรพิจารณา และต่อมากรมตำรวจได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้วมีความเห็นว่า หลักฐานไม่เพียงพอให้เชื่อได้ว่าโจทก์ทั้งสี่เกิดในราชอาณาจักรไทย และเคยมีสัญชาติไทยมาก่อนแล้วถูกถอนสัญชาติไทย จึงให้ระงับเรื่องไว้ก่อน ได้แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่หาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ปรากฏตามบันทึกข้อความของกรมตำรวจเอกสารหมาย ล.15 ล.16 ล.17 และ ล.18 จำเลยได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่ทราบ และโจทก์ทั้งสี่ได้เซ็นชื่อรับทราบแล้วปรากฏตามเอกสารหมาย ล.19 ล.20 ล.21 และ ล.22 โจทก์ทั้งสี่ทราบแล้วก็ไม่ส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้กรมตำรวจพิจารณาต่อไป เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่า จำเลยได้ปฏิเสธไม่ออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ทั้งสี่อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ที่จำเลยไม่อาจออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ได้นั้น เกิดจากความบกพร่องของโจทก์ทั้งสี่ที่ไม่ส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้กรมตำรวจตรวจสอบพิจารณาใหม่โจทก์ทั้งสี่จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นเมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยแล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นตามฎีกาของจำเลยต่อไป”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share