แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องและจำเลยเป็นสามีภริยากันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสกันในปี พ.ศ. 2518 และจดทะเบียนหย่ากันในปี พ.ศ. 2520 ขณะแต่งงานกันต่างฝ่ายต่างไม่มีทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างที่ผู้ร้องกับจำเลยอยู่กินด้วยกันก่อนจดทะเบียนสมรสจึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องกับจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันซึ่งผู้ร้องกับจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวม แม้ภายหลับผู้ร้องกับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสและหย่าขาดจากกันโดยไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์ดังกล่าวเป็นอย่างอื่น ทรัพย์สินนั้นจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยอยู่ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยจากการยึด
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาคดีถึงที่สุด ให้จำเลยชำระเงิน ๔๗,๖๐๐ บาทแก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลย เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่ยึดเป็นสินเดิมของผู้ร้องมีมาก่อนที่ผู้ร้องจะจดทะเบียนสมรสกับจำเลย
โจทก์ให้การว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรส ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องและจำเลยเป็นสามีภริยากันตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๙๙ แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ และจดทะเบียนหย่ากันในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ คดีมีปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องว่า ทรัพย์สินพิพาทรายการที่ ๑ ถึงที่ ๕ เป็นของผู้ร้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำมาสืบว่า ทรัพย์สินที่พิพาทรายการที่ ๑ ถึงที่ ๕ ได้มาระหว่างผู้ร้องกับจำเลยอยู่กินด้วยกันก่อนจดทะเบียนสมรส ขณะผู้ร้องแต่งงานกับจำเลยนั้น ต่างคนต่างไม่มีทรัพย์สินอะไรมาและทรัพย์สินดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าได้ซื้อมาด้วยเงินส่วนตัวของผู้ร้อง จึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างผู้ร้องกับจำเลยอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องกับจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน ผู้ร้องกับจำเลยจึงมีกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์สินที่พิพาทแม้ภายหลังผู้ร้องกับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสและหย่าขาดจากกันโดยไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาทเป็นอย่างอื่น ทรัพย์สินที่พิพาทจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่พิพาท
พิพากษายืน