แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 คู่กรณีมีเจตนามุ่งหมายที่จะระงับข้อพิพาทที่จำเลยที่ 2 มีหน้าที่จะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายร่วมกับจำเลยที่ 1 ใน ฐานะที่เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้าง จึงมีผลให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยที่ 2 ในมูลละเมิดระงับสิ้นไปโดยโจทก์ได้สิทธิเรียกร้องใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจำเลยที่ 3 มิได้ร่วมลงชื่อด้วยจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงยังต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อโจทก์จนกว่าโจทก์จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์และจำเลยที่ 2 ตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมรับค่าเสียหายเพียง 17,500 บาท จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องรับผิดต่อเมื่อจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ ย่อมได้รับประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวด้วยจำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 17,500 บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ไปในทางการที่จ้างโดยประมาทชนทรัพย์สินของโจทก์เสียหายรวมเป็นเงิน 54,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเพียง 20,000 บาท แต่จำเลยที่ 2 กลับไม่ยอมใช้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 54,000 บาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ความเสียหายมิได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายจำเลยจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด โจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดได้อีก
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์เรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 17,500บาท ทำให้หนี้ในมูลละเมิดระงับสิ้นไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3ให้รับผิดอีก พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 17,500 บาทให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 3
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ได้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันรับผิดจำนวน 54,000บาท จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดจำนวน 17,500 บาท
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่ว่า การที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จะทำให้จำเลยที่ 3 หลุดพ้นความรับผิดหรือไม่นั้น เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2นั้น คู่กรณีมีเจตนามุ่งหมายที่จะระงับข้อพิพาทที่จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้าง จึงมีผลให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยที่ 2 ในมูลละเมิดระงับสิ้นไปโดยโจทก์ได้สิทธิเรียกร้องใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจำเลยที่ 3 มิได้ร่วมลงชื่อตกลงด้วย จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงยังต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อโจทก์จนกว่าโจทก์จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์และจำเลยที่ 2 ตกลงประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยอมรับค่าเสียหายเพียง 17,500 บาท ดังนั้น จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุน ซึ่งจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ ย่อมได้รับประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวด้วย จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน 17,500 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน17,500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์