แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันและทำบันทึกเกี่ยวกับทรัพย์สินไว้ที่ด้านหลังทะเบียนการสมรสว่า ฝ่ายชายยกที่ดินพิพาทเป็นสินสอดฝ่ายหญิง เมื่อปรากฏว่าบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมก่อนที่โจทก์กับจำเลยจะจดทะเบียนสมรสกันและไม่ปรากฏว่าโจทก์มีผู้ปกครองในขณะจดทะเบียนสมรส การที่จำเลยตกลงยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ในลักษณะที่เป็นสินสอด. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1437 แต่การที่จำเลยตกลงยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ก็เพื่อตอบแทนการที่โจทก์ยอมสมรสกับจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นบุคคลสิทธิใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญา เมื่อโจทก์จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับจำเลยฉันสามีภริยาแล้ว จำเลยก็มีหน้าที่ต้องโอนที่ดินให้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามบันทึกดังกล่าวได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน ก่อนที่จำเลยจะสมรสกับโจทก์ จำเลยตกลงยกที่นาฟางโฉนดเลขที่ ๔๖๖๕ และที่อยู่อาศัยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๕๕ พร้อมด้วยสิ่งก่อสร้างให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนที่โจทก์ยอมสมรส หลังจากอยู่กินด้วยกันแล้วจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง โจทก์ไม่สามารถอยู่กินกับจำเลยต่อไป แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่า จำเลยก็ไม่ไปและไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และโอนที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ ถ้าไม่ไปทำการโอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์จริง แต่ไม่ได้ตกลงเรื่องทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในทะเบียนสมรส จำเลยออกจากบ้านเพราะโจทก์ขับไล่ จำเลยไม่เคยดุด่าว่ากล่าวโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยแถลงว่ายอมหย่ากับโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และให้จำเลยโอนที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๕๕ พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ภายใน ๓๐ วัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๖๖๕ แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามบันทึกที่เกี่ยวกับที่ดินนาฟาง (ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๖๖๕) มีความว่า “กรณีทรัพย์สิน ฝ่ายชายยกนาฟางจำนวน ๑ แปลงเนื้อที่ ๕ ไร่ ๒ งาน ตั้งอยู่หมู่ที่ ๒๑ ตำบลดงมะดะ อำเภอเมืองเชียงราย เป็นสินสอดฝ่ายหญิง” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๓๗ วรรคสาม เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมก่อนที่โจทก์กับจำเลยจะจดทะเบียนสมรสกัน และไม่ปรากฏว่าโจทก์มีผู้ปกครองในขณะจดทะเบียนสมรส การที่จำเลยตกลงยกนาฟางให้โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ในลักษณะที่เป็นสินสอดแต่อย่างไรก็ดีการที่จำเลยตกลงยกนาฟางให้โจทก์ก็เพื่อตอบแทนการที่โจทก์ยอมสมรสกับจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นบุคคลสิทธิใช้บังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญา เมื่อโจทก์จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับจำเลยฉันสามีภริยาแล้ว จำเลยก็มีหน้าที่ต้องโอนที่ดินให้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้โอนที่ดินนาฟางให้แก่โจทก์ตามบันทึกดังกล่าวได้
พิพากษายืน