แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นก่อนโดยตบตีทำร้าย และเตะจำเลยก่อนฝ่ายเดียวอันถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวเองได้แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายเพียงแต่ตบเตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่อย่างใด การที่จำเลยใช้อาวุธมีดเลือกแทงที่ช่องท้องของผู้ตายอันเป็นอวัยวะที่สำคัญ แม้จะแทงไปเพียง 1 ครั้งแต่ถูกลำไส้และเส้นเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องฉีกขาดเป็นเหตุ ให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทันที แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยย่อม เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควร แก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ลงโทษจำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ริบมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 72 ลงโทษจำคุก 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยกับนายไพฑูรย์ ธรรมะ ผู้ตายอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยใช้อาวุธมีดของกลางแทงผู้ตาย 1 ครั้งถูกบริเวณท้องด้านซ้ายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.6 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่าเมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์กลับมาที่วงสุราแล้วผู้ตายต่อว่าจำเลยว่าชอบเที่ยวกลางคืนและลักรถจักรยานยนต์ของผู้ตายไปใช้ จำเลยโต้เถียงว่าเป็นสามีภรรยากันช่วยกันซื้อจะเอาไปใช้ไม่ได้หรือ ผู้ตายทุบตีจำเลยจำเลยโกรธจึงทุบขวดสุราแตกแล้วลุกออกจากวงสุราไป ผู้ตายลุกตามมาแล้วเตะต่อยจำเลยจนล้ม จำเลยลุกขึ้นมาจึงใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายไป 1 ครั้งดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยได้โต้เถียงกับผู้ตายเรื่องรถจักรยานยนต์ว่าจำเลยมีส่วนออกเงินซื้อร่วมกับผู้ตายด้วยและขณะนั้นจำเลยกับผู้ตายเพียงแต่โต้เถียงเฉพาะเรื่องรถจักรยานยนต์เท่านั้น จำเลยไม่ได้สมัครใจวิวาทเพื่อทำร้ายร่างกายกับผู้ตายดังนั้น เมื่อจำเลยทุบขวดสุราแตกแล้วลุกเดินออกจากวงสุราการโต้เถียงจึงได้ขาดตอนลงไปแล้วและที่ผู้ตายลุกขึ้นเดินตามจำเลยแล้วเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยตบตีและเตะจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายในขณะนั้นเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น เห็นว่าแม้จำเลยกับผู้ตายจะเป็นสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันผู้ตายก็ไม่มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะทำร้ายร่างกายจำเลย ฉะนั้นเมื่อผู้ตายเป็นก่อเหตุขึ้นก่อนโดยตบตีทำร้ายและเตะจำเลยก่อนฝ่ายเดียวอันถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวเองได้ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายดังกล่าวก็เพื่อยับยั้งผู้ตายมิให้ทำร้ายร่างกายจำเลยอีกโดยภยันตรายนั้นยังมิได้สิ้นสุดลง จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากการถูกทำร้ายแต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายเพียงแต่ตบเตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่อย่างใดการที่จำเลยใช้อาวุธมีดเลือกแทงที่ช่องท้องของผู้ตายอันเป็นอวัยวะที่สำคัญ แม้จะแทงไปเพียง 1 ครั้ง แต่ถูกลำไส้และเส้นเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องฉีกขาดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทันทีแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายจึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างมาในฎีกา ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2