คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลย ต่อมาจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วตามข้อตกลงนอกศาล ศาลจึงมีคำสั่งเพิกถอนการบังคับคดี ดังนี้ ไม่ใช่เป็นการเพิกถอนการบังคับคดีเพราะจำเลยได้วางเงินอย่างหนึ่งอย่างใดต่อศาลหรือพนักงานบังคับคดีตามป.วิ.พ. มาตรา 295(1) แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ จึงถือว่าโจทก์ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นที่ระบุไว้ในตารางท้าย ป.วิ.พ. ตามมาตรา 149 เมื่อไม่มีการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินที่ยึดไว้ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดตามที่กำหนดไว้ในตาราง 5 ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ. และกรณีนี้ไม่ต้องด้วยมาตรา 295 ตรีเพราะไม่ใช่บทบัญญัติว่าด้วยการกำหนดให้ฝ่ายใดรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวนเงิน 120,000 บาท โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมชำระหนี้เป็นเงิน 122,625 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่ได้สั่งคืนให้เป็นพับ ต่อมา โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหลังจากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ได้ยึดทรัพย์ที่ดินของจำเลย 2 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า หลังจากโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลและศาลพิพากษาคดีตามยอมแล้วโจทก์กับจำเลยได้ทำความตกลงกันนอกศาลเกี่ยวกับการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวโดยโจทก์ตกลงให้จำเลยชำระหนี้เพิ่มขึ้นเป็นเงินรวม 125,000 บาท และโจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวเป็นรายเดือน รวม 19 เดือน และจำเลยได้สั่งจ่ายเช็ครวม 19 ฉบับ แต่ละฉบับสั่งจ่ายเงินและลงวันที่ตามที่ตกลงกันดังกล่าวให้แก่โจทก์ไว้แล้วด้วย ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนหมายบังคับคดีและขอให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆเกี่ยวกับการบังคับคดีด้วย ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ถึงวันนัดโจทก์แถลงรับว่าโจทก์ก็ได้ตกลงกับจำเลยนอกศาลตามที่จำเลยแถลงในคำร้องดังกล่าวจริง และโจทก์ได้นำเช็คฉบับที่ถึงกำหนดชำระเงินแล้วไปเรียกเก็บเงินได้แล้วรวม 8 ฉบับ เป็นเงิน 40,000 บาท ยังมีเช็คอีก 11 ฉบับ ที่ไม่ถึงกำหนดชำระเงิน ถ้าเช็คทั้ง 11 ฉบับรับเงินได้โจทก์ก็จะไม่ดำเนินการให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ จำเลยแถลงว่าพอใจตามที่โจทก์แถลงและไม่ติดใจที่จะดำเนินการตามคำร้องฉบับดังกล่าว ต่อมา จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้รับเงินตามเช็คอีก 11 ฉบับนั้นแล้วศาลชั้นต้นสอบโจทก์แล้วแถลงรับว่า โจทก์ได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งชำระหนี้ทุกฉบับครบถ้วนแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้ถอนการบังคับคดีได้ต่อเมื่อได้มีการชำระเงินค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีครบถ้วนก่อนจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีหรือถอนการยึดทรัพย์คดีนี้ตามที่ศาลมีคำสั่งและเรียกให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีกลับมีหมายแจ้งให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายในชั้นบังคับคดีมาชำระภายใน15 วัน จำเลยเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ กรณีนี้โจทก์ต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 ตรี ขอให้สั่งโจทก์เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นกรณีถอนการบังคับคดีตามคำร้องของจำเลยโดยจำเลยและโจทก์ตกลงกันนอกศาล จึงเป็นกรณีศาลสั่งให้ถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1)ซึ่งจำเลยจะต้องวางเงินค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 295 ตรี ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนการบังคับคดีตามคำร้องขอของจำเลยก็ถือว่าเป็นการถอนโดยคำสั่งศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 ตรีโจทก์ในฐานะผู้ขอให้ยึดจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กรณีไม่ใช่การถอนการบังคับคดีตามมาตรา 295(1) พิพากษากลับ ให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้แจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่ากรณีเป็นเรื่องศาลมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295(1) จำเลยจึงต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง นั้น เห็นว่าการถอนการบังคับคดีตามมาตรา 295(1) ดังกล่าวนั้นต้องเป็นกรณีที่จำเลยได้วางเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีต่อศาลหรือต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี หรอืได้หาประกันมาให้จนเป็นที่พอใจของศาลสำหรับจำนวนเงินเช่นว่านั้น กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีจำเลยได้วางเงินทั้ง 3 อย่างดังกล่าวต่อศาลหรือต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีก่อน แล้วศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงจะสั่งหรือถอนการบังคับคดีให้ได้ แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้จำเลยมิได้วางเงินทั้ง 3 อย่างนั้นต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี และจำเลยได้โต้แย้งว่าโจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีโดยไม่ชอบเพราะโจทก์ตกลงให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมเป็น 19 งวดงวดละเดือน และขณะโจทก์ขอหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยนั้นโจทก์ก็ได้รับชำระหนี้แต่ละงวดตามที่ตกลงกัน ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่าเป็นความจริงและเมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนทั้ง 19 งวดแล้วศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งเพิกถอนการบังคับคดี จึงหมายความว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีครั้งนี้มิใช่เพราะเหตุที่จำเลยได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา 295(1) กรณีจึงไม่ใช่การถอนการบังคับคดีตามบทมาตราดังกล่าว และเห็นว่า ตามปัญหาเป็นเรื่องการยึดทรัพย์จำเลยซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ซึ่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึดตามที่กำหนดไว้ในตาราง 5ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงต้องบังคับคดีตามบทบัญญัติในมาตรา 149 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “ฯลฯ ค่าธรรมเนียมศาลในการยื่นคำฟ้องฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกา หรือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นตามที่ระบุไว้ในตารางท้ายประมวลกฎหมายนี้หรือมาตรา 150 นั้นให้คู่ความผู้ยื่นคำฟ้องฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกา หรือดำเนินกระบวนพิจารณานั้น ๆ หรือคู่ความฝ่ายที่ศาลระบุไว้ในคำสั่งในกรณีที่กระบวนพิจารณานั้นได้กระทำโดยคำสั่งศาลเป็นผู้ชำระ ฯลฯ” เมื่อโจทก์เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยในคดีนี้ จึงถือว่าโจทก์ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นตามที่ระบุไว้ในตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามบทมาตราดังกล่าว ฉะนั้นเมื่อไม่มีการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่ยึดไว้โจทก์จึงมีหน้าที่จะต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หาใช่จำเลยจะต้องเป็นผู้ชำระดังที่โจทก์ฎีกาไม่ อนึ่งกรณีนี้ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295 ตรี เพราะบทมาตราดังกล่าวมิใช่บทบัญญัติว่าด้วยการกำหนดให้ฝ่ายใดรับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม แต่เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีขอหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของผู้ที่มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากผู้นั้นได้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้อื่นไว้แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นเพราะมีการถอนการบังคับคดีโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี หรือโดยคำสั่งศาล เป็นผลให้ผู้นั้นต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ผู้นั้นไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมนั้น มาตรานี้จึงบัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมนั้นและให้บังคับคดีได้เองโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งปวงด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา 295 ตรี ดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล…”
พิพากษายืน.

Share