แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่ถูกบังคับให้ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น ต้องมีบัตรติดตัวหรือเก็บไว้ในลักษณะที่จะแสดงได้เสมอตามความในมาตรา 10 และ ถ้าฝ่าฝืนก็ถูกลงโทษแต่ไม่บังคับแก่ผู้ที่มีบัตรประจำตัวข้าราชการฯลฯ และพนักงานองค์การแห่งรัฐ เพราะความเช่นนั้น ไม่มีบัญญัติไว้ พระราชบัญญัติ 2 ฉบับข้างบน แยกต่างหากจากกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต่อเสรีภาพและชื่อเสียง และให้คืนเงินค่าปรับ
ศาลแขวงฯ พิพากษาลงโทษ
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลรับเป็นฎีกาเฉพาะข้อที่ ๓ ข. การที่โจทก์ไม่นำบัตรประจำตัวของพนักงานองค์การติดตัวไปนั้น ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัว ข้าราชการ พนักงานเทศบาล พนักงานสุขาภิบาล และพนักงานองค์การของรัฐอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งแยกต่างหากจากกัน พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน มาตรา ๑๐ บัญญัติว่า บุคคลซึ่งต้องมีบัตรประจำตัว ต้องมีบัตรติดตัวหรือเก็บไว้ในลักษณะที่จะแสดงได้เสมอในเมื่อเรียกร้องให้แสดง ฯลฯ มาตรา ๑๓ เป็นบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนมาตรา ๗ และ ๑๐ เห็นว่า บทบัญญัติของกฎหมายแต่ละฉบับย่อมใช้บังคับแยกต่างหากจากกัน นอกจากกจะระบุให้นำไปใช้เกี่ยวกับอีกฉบับหนึ่ง
ตามมาตรา ๑๐ แห่ง พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน จึงมีความหมายถึง ผู้ซึ่งต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน เพราะไม่มีข้อบัญญัติแสดงว่า ให้ใช้มาตรานี้แก่ผู้มีบัตรตาม พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวข้าราชการฯ ด้วย จึงจะนำมาตรา ๑๐ และ ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนไปใช้บังคับหรือลงโทษแก่ผู้มีบัตรประจำตัวตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวข้าราชการ ฯลฯ และพนักงานองค์การแห่งรัฐไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยเหตุที่โจทก์มีความผิดตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนเป็นหลักสำคัญ คดีจะต้องพิจารณาถึงเหตุอื่นต่อไป แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย
จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้พิจารณาประเด็นอื่นต่อไป แล้วพิพากษาใหม่