แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อพฤติการณ์ตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอฟังว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมผู้เสียหาย และโดยผู้เสียหายนั้นไม่ยินยอมแต่การที่จำเลยทั้งสามได้กระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และไม่ใช่ภริยาของตน ไม่ว่าผู้เสียหายจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง เหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาขึ้นมาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดบุรีรัมย์) ได้มีการเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในเขตท้องที่ดังกล่าวแล้วขณะกระทำผิดจำเลยที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ จำเลยที่ 2 อายุ 17 ปีเศษ คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว แต่โจทก์ได้ยื่นฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเยาวชนร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 3ซึ่งไม่ใช่เด็กหรือเยาวชนต่อศาลชั้นต้นและระหว่างการพิจารณาได้มีการเปิดแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะโอนคดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพิจารณาพิพากษาในศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวได้ การที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการดังกล่าวแสดงว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สมควรโอนคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพิจารณาพิพากษาในศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีของจำเลยทั้งสามไปพร้อมกัน จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และไม่อาจโอนคดีของจำเลยที่ 1 ไปพิจารณาพิพากษาในศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวได้เพราะศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของจำเลยที่ 1เนื่องจากมิได้ฎีกาจากศาลอุทธรณ์ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 แต่หากศาลฎีกาเห็นสมควร ศาลฎีกามีอำนาจที่จะนำวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนมาใช้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ ทั้งนี้โดยอาศัยมาตรา 136ประกอบมาตรา 59 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2537 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามร่วมกระทำชำเราเด็กหญิงสินีหรือทู จันทรมนตรี ผู้เสียหายอายุ 14 ปีเศษจนสำเร็จความใคร่คนละ1 ครั้ง โดยผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราผู้เสียหาย อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม เหตุเกิดที่ตำบลโคกมะขาม อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 83
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 277 วรรคสาม ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ จำเลยที่ 2 อายุ17 ปีเศษ และจำเลยที่ 3 อายุไม่เกินยี่สิบปี ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยทั้งสามคนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53, 75 และ 76 แล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 25 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 16 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า เด็กหญิงสินีหรือทู จันทรมนตรีผู้เสียหาย อายุ 14 ปีเศษ ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปที่สวนมะม่วงบริเวณที่เกิดเหตุและจำเลยที่ 1 ได้นั่งร่วมดื่มสุรากับจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกอีก 2 ถึง 3 คน ในสวนมะม่วงนั้นส่วนผู้เสียหายเข้าไปนั่งอยู่ในกระท่อมที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 10 เมตร ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้เข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายในกระท่อมดังกล่าว
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือไม่เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์สอดคล้องต้องกัน มีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้กระทำชำเราผู้เสียหายด้วยในวันเกิดเหตุไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1มีอาวุธหรือพูดจาข่มขู่ผู้เสียหายแต่อย่างใด ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ใช้กำลังถอดกางเกงผู้เสียหาย และกางเกงของตนออก แล้วกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ ยังฟังไม่ถนัดว่าจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และผู้เสียหายไม่ยินยอม การที่จำเลยที่ 2และที่ 3 ได้กระทำชำเราผู้เสียหายนั้น มิได้เกิดจากการบังคับขู่เข็ญหรือข่มขืนใจผู้เสียหายเลย พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสามได้กระทำชำเราผู้เสียหายในเวลาต่อเนื่องกันตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอฟังว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมผู้เสียหาย และโดยผู้เสียหายนั้นไม่ยินยอมอันจะเป็นความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมา แต่การที่จำเลยทั้งสามได้กระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และไม่ใช่ภริยาของตน ไม่ว่าผู้เสียหายจะยินยอมหรือไม่ก็ตามย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 และเหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาขึ้นมาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213
อนึ่ง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ และขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าได้มีการเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของจำเลยที่ 1 ขอให้โอนคดีไปให้ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเป็นผู้พิจารณาพิพากษา หรือใช้วิธีการเกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชนตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2540 แต่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลชั้นต้น ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2540เป็นต้นไป ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีนี้ ฉะนั้นจึงถือได้ว่า ขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ได้มีการเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในเขตท้องที่ดังกล่าวแล้ว ขณะกระทำผิด จำเลยที่ 1 อายุ 14 ปีเศษจำเลยที่ 2 อายุ 17 ปีเศษ คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว แต่อย่างไรก็ตามคดีนี้โจทก์ได้ยื่นฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเยาวชนร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่ใช่เด็กหรือเยาวชนต่อศาลชั้นต้นและระหว่างการพิจารณาได้มีการเปิดแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะโอนคดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพิจารณาพิพากษาในศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวได้ แต่การที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการดังกล่าวแสดงว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่สมควรโอนคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพิจารณาพิพากษาในศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมิได้โอนคดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพิจารณายังแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวของศาลชั้นต้น แต่ได้ทำการพิจารณาพิพากษาคดีของจำเลยทั้งสามไปพร้อมกัน จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และคดีนี้ไม่อาจโอนคดีของจำเลยที่ 1 ไปพิจารณาพิพากษาในศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาได้ เพราะศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของจำเลยที่ 1 เนื่องจากมิได้ฎีกาจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและหากศาลฎีกาเห็นสมควร ศาลฎีกามีอำนาจที่จะนำวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนมาใช้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ ทั้งนี้โดยอาศัยมาตรา 136 ประกอบมาตรา 59 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว มาใช้บังคับโดยอนุโลม
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ขณะกระทำผิด จำเลยที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 และที่ 3 อายุกว่า 17 ปี แต่ยังไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ตามมาตรา 76 คนละกึ่งหนึ่งให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 6 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพต่อศาลส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละหนึ่งในสาม ตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 4 ปีขณะกระทำผิด จำเลยที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ ถือว่ายังอ่อนด้วยในด้านสติปัญญาและความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ขณะนี้อายุกว่า 20 ปีแล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษา จึงให้นำวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 106 มาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 1 โดยให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ มีกำหนด2 ปี แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1 หลาบจำไม่คิดกระทำความผิดอีก จึงให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1อีกสถานหนึ่งโดยลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 75 ปรับ 15,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 10,000 บาท หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 107 โดยให้ส่งตัวจำเลยที่ 1ไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมในสถานฝึกและอบรมในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน มีกำหนด 3 เดือน สำหรับจำเลยที่ 3 นั้นข้อเท็จจริงได้ความว่า ต่อมาจำเลยที่ 3กับผู้เสียหายได้สมรสกันแล้ว เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคท้าย