แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงได้ความว่า อำนาจอนุมัติเงินยืมเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2 ผู้เป็นปลัดจังหวัดจะสั่งอนุมัติได้ต่อเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และตามระเบียบราชการผู้ขอยืมเงินจะต้องขอไปใช้ในทางราชการ ผู้มีอำนาจอนุมัติจึงจะอนุมัติให้ยืมได้ ดังนี้ เมื่อฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเสมียนตรานำเงินยืมไปใช้นอกเหนือหน้าที่ราชการและจำเลยที่ 2 ทำนอกเหนือหน้าที่ราชการแต่อย่างใดจึงต้องฟังว่าการที่จำเลยที่ 1 ได้ขอยืมเงินทดรองราชการและจำเลยที่ 2 อนุมัติไปตามฟ้อง เป็นการยืมไปใช้ในราชการ ในกรณีเช่นนี้ จำเลยที่ 1 หาได้อยู่ในฐานะผู้ยืมตามกฎหมายไม่ (อ้างฎีกาที่ 1107/2499) การที่โจทก์กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ยืมเงินทดรองราชการไปแล้วไม่ส่งใช้เงินยืมหรือไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืม และจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติราชการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้อนุมัติเงินยืม จึงเป็นเรื่องที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการนั้นเอง หาได้กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำละเมิดต่อโจทก์แต่ประการใดไม่ จึงไม่มีทางที่จะบังคับให้จำเลยรับผิดตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการตำแหน่งเสมียนตราจังหวัดนนทบุรี มีหน้าที่เบิก รับ จ่าย รักษาเงิน ควบคุมการเงินของทางราชการจังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ 2 รับราชการตำแหน่งปลัดจังหวัดนนทบุรี เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติราชการงานเสมียนตราจังหวัดนนทบุรีตลอดจนมีอำนาจอนุมัติเงินยืมต่าง ๆ ของทางราชการจังหวัดนนทบุรีให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อระหว่าง พ.ศ. 2505 ถึง พ.ศ. 2509 จำเลยที่ 1 ได้ขอยืมเงินทดรองราชการของจังหวัดนนทบุรี โดยทำบันทึกใบยืมและสัญญารับรองการยืมเงินประเภทต่าง ๆ รวม 36 ครั้ง รวมเป็นเงิน 67,217.35 บาท และจำเลยที่ 2 เป็นผู้อนุมัติ นับตั้งแต่จำเลยที่ 1 ยืมเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้ส่งใช้เงินยืมคืน ทั้งไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ยืมและจำเลยที่ 2 ผู้อนุมัติต้องรับผิดร่วมกันใช้เงินจำนวนนี้คืนแก่จังหวัดนนทบุรี โจทก์แจ้งให้จำเลยใช้เงินยืมดังกล่าวหลายครั้ง จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวน 67,217 บาท 35 สตางค์แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้ทำใบยืมเงินทดรองราชการรวม 36 ฉบับจริง แต่เป็นการยืมทดรองจ่ายเพื่อใช้ในกิจการและหน้าที่ของโจทก์ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้สั่งและอนุมัติจ่ายได้ ถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ต้องรับผิด และตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่มีหน้าที่อนุมัติเงินยืมการอนุมัติเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด จำเลยที่ 2 ลงชื่ออนุมัตินั้นเป็นการลงชื่อแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเงินตามฟ้องอยู่ครบถ้วน เพียงแต่จำเลยที่ 1 กับผู้ว่าราชการจังหวัดต่างไม่ยอมส่งใบสำคัญหักคืนเงินยืมหรือเบิกจากเงินงบประมาณใช้คืนเงินยืมเท่านั้น และตัดฟ้องว่าคดีขาดอายุความและฟ้องเคลือบคลุม
ชั้นพิจารณาโจทก์แถลงว่า อำนาจอนุมัติเงินยืมเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ผู้เดียว และคู่ความรับกันว่าตามระเบียบราชการผู้ขอยืมเงินจะต้องขอไปใช้ในทางราชการ ผู้มีอำนาจอนุมัติจึงจะอนุมัติให้ยืมได้ และระยะเวลาส่งใบสำคัญใช้เงินยืมจะต้องส่งภายในเวลา 15 วัน นับแต่ผู้ยืมได้ใช้จ่ายเงินยืมไปตามกำหนดการที่ยืมนั้นเสร็จ
เมื่อสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้ 1 ปาก ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ตั้งเป็นมูลสัญญา ไม่ใช่มูลละเมิดหากจะฟังว่าจำเลยที่ 1 มิได้ส่งใช้เงินยืมและไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืมอย่างดีจะฟังได้ก็เพียงว่าจำเลยที่ 1 บกพร่องหรือละเลยต่อหน้าที่ หรือเป็นการผิดระเบียบเท่านั้น หาได้กระทำผิดสัญญาต่อโจทก์ ส่วนการที่จำเลยที่ 2 อนุมัติเงินยืมก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดและฟ้องไม่ได้บรรยายว่าการที่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งใช้เงินยืมและไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืมนั้นเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือไม่อย่างไร จำเลยที่ 2 จะต้องมีส่วนรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างไรเป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ได้ความตามที่โจทก์แถลงว่า อำนาจอนุมัติเงินยืมเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2 จะสั่งอนุมัติได้ต่อเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อาจปฏิบัติราชการได้และคู่ความรับกันว่า ตามระเบียบราชการผู้ขอยืมเงินจะต้องขอไปใช้ในทางราชการผู้มีอำนาจจึงจะอนุมัติให้ยืมได้และวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 นำเงินยืมดังกล่าวไปใช้นอกเหนือหน้าที่ราชการ และจำเลยที่ 2 ทำนอกเหนือหน้าที่ราชการอย่างใด จึงต้องฟังว่าการที่จำเลยที่ 1 ได้ขอยืมเงินทดรองราชการและจำเลยที่ 2 อนุมัติไปตามฟ้อง เป็นการยืมไปใช้ในราชการ ในกรณีเช่นนี้จำเลยที่ 1 หาได้อยู่ในฐานะผู้ยืมตามกฎหมายไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1107/2499 ระหว่างกรมไปรษณีย์โทรเลข โจทก์ ม.ร.ว.เชื้อ สนิทวงศ์ กับพวก จำเลย ที่โจทก์กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ยืมเงินทดรองราชการไปแล้วไม่ส่งใช้เงินยืมหรือไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืม และจำเลยที่ 2 ผู้มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติราชการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้อนุมัติเงินยืมรายนี้ จึงเป็นเรื่องที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการนั้นเอง หาได้กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำละเมิดต่อโจทก์แต่ประการใดไม่ไม่มีทางที่จะบังคับให้จำเลยรับผิดตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน