คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3412/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ระหว่างพิจารณาคดีล้มละลายของศาลชั้นต้นโจทก์โอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยทั้งสองไปยังบริษัท บ. ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ได้หมดไปในระหว่างพิจารณาแล้วก็ตาม แต่ในขณะยื่นฟ้องโจทก์เป็นผู้มีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย ฯ มาตรา 9 ซึ่งเป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายที่จะนำทรัพย์สินของลูกหนี้มาจัดสรรชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เหล่านั้น หาใช่เป็นการฟ้องบังคับชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงไม่ และเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองไว้ชั่วคราวแล้ว หากศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่สิทธิของโจทก์สิ้นไปในระหว่างพิจารณาก็จะต้องดำเนินการโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันเพื่อให้เจ้าหนี้ทั้งหลายทราบล่วงหน้าก่อนไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้เจ้าหนี้ดังกล่าวยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์เดิมได้เช่นเดียวกับเหตุตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย ฯ มาตรา 154 แต่เมื่อปรากฏว่าต่อมาในระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้นได้มีการยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์กับบริษัท บ. เนื่องจากมีเหตุขัดข้องในการโอน โดยบริษัท บ. ได้โอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวคืนแก่โจทก์แล้ว เช่นนี้โจทก์จึงยังคงมีสถานะเป็นเจ้าหนี้มีอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองต่อไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองชั่วคราว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองชั่วคราว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ยื่นคำร้องว่า ได้รับโอนกิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน และภาระผูกพันทั้งหมด รวมทั้งสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งสองในคดีนี้ด้วย จึงขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลฎีกาอนุญาตให้ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ได้
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า แม้จะรับฟังได้ความว่าในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ได้มีการโอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยทั้งสองไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์แม็กซ์ จำกัด แล้วก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดีล้มละลายนั้น โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยทั้งสองและฐานะของโจทก์ในขณะยื่นคำฟ้อง โจทก์เป็นผู้มีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองได้ตามหลักเกณฑ์ใน พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 เมื่อการฟ้องคดีล้มละลายนั้นเป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในอันที่จะนำทรัพย์สินของลูกหนี้มาจัดสรรจำหน่ายเพื่อแบ่งชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เหล่านั้น หาใช่เป็นการฟ้องบังคับชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง การที่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ได้หมดไปในระหว่างพิจารณา เนื่องจากโจทก์ได้ทำนิติกรรมโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์แม็กซ์ จำกัด แต่เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองไว้ชั่วคราวแล้ว ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่สิทธิของโจทก์สิ้นไปในระหว่างพิจารณาจะต้องดำเนินการโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันเพื่อให้เจ้าหนี้ทั้งหลายได้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้เจ้าหนี้ทั้งหลายได้ยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์เดิมตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 154 และต่อมาในระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นเองปรากฏว่าได้มีการยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้องเนื่องจากมีเหตุขัดข้องในการโอนบริษัทบริหารสินทรัพย์แม็กซ์ จำกัด ได้โอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวคืนแก่โจทก์ เช่นนี้โจทก์จึงยังคงมีสถานะเป็นเจ้าหนี้มีอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองต่อไปได้
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร.

Share