คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 341/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มีข้อหนึ่งว่า’ผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงจะโอนซื้อขายกันเด็ดขาด ณ หอทะเบียนที่ดิน ในเมื่อผู้ขายได้ฟ้องขับไล่นางเลื่อนผู้เช่าจนคดีถึงที่สุด’ ดังนี้ โจทก์ก็ย่อมสืบอธิบายสัญญาได้ว่าที่มีข้อความเช่นนี้ ก็เพราะผู้ซื้อประสงค์จะเข้าอยู่เองฉะนั้นถ้าผู้ขายฟ้องขับไล่ผู้เช่าคดีถึงที่สุดแล้ว แต่ผู้ขายเป็นฝ่ายแพ้คดีผู้เช่าก็คงยังได้อยู่ในที่ดินบ้านเรือนนี้ได้ต่อไป ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและขอรับเงินมัดจำในการซื้อขายคืนได้

ย่อยาว

โจทก์กับจำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโจทก์เป็นผู้ซื้อ จำเลยเป็นผู้ขาย ในสัญญามีข้อหนึ่งว่า “ผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงจะโอนซื้อขายกันเด็ดขาด ณ หอทะเบียนที่ดิน ในเมื่อผู้ขายได้ฟ้องร้องขับไล่นางเลื่อนผู้เช่าจนคดีถึงที่สุด” ต่อมาจำเลยได้ฟ้องขับไล่นางเลื่อนผู้เช่า คดีถึงที่สุดแต่จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีนางเลื่อนไม่ต้องออกจากที่ดินบ้านรายนี้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซื้อขาย และขอเงินมัดจำคืน

จำเลยต่อสู้ว่า ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาแล้ว โจทก์ไม่ไปโอนทะเบียน จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องริบเงินมัดจำ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลย มีข้อ 2 มีความชัดว่า”ผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงจะโอนซื้อขายกันเด็ดขาด ณ หอทะเบียนที่ดิน ในเมื่อผู้ขายได้ฟ้องขับไล่นางเลื่อนผู้เช่า คดีถึงที่สุดแล้ว” และโจทก์สืบอธิบายว่า ที่มีข้อความเช่นนั้น เพราะโจทก์ประสงค์จะเข้าอยู่เอง เมื่อจำเลยแพ้คดีนางเลื่อน โจทก์ก็ไม่สามารถเข้าอยู่ได้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาได้ จึงพิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share