คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยวางแผนประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันเปิดรับสมัครบุคคลมาทำงานกับบริษัท. เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อมาสมัครทำงาน. โดยวางอัตราค่าจ้างเงินเดือนสูง ว่างระเบียบให้ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อยหนึ่งหุ้นเป็นเงิน 900 บาท. บริษัทตั้งขึ้นแล้ว. จำเลยก็มิได้ดำเนินกิจการค้าดังวัตถุประสงค์แต่อย่างใด. สินค้าในบริษัทก็ไม่มี. ธุรกิจที่จะมอบหมายให้ผู้สมัครรับจ้างปฏิบัติก็ไม่มี. ถือได้ว่าจำเลยก่อตั้งบริษัท ดำเนินการด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเพื่อหลอกลวงประชาชน. จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343.
เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงของจำเลยดังกล่าวแล้ว. โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงผู้เสียหายคนอื่นในกรณีนี้อีกได้. เพราะผู้เสียหายเป็นคนละคนต่างถูกหลอกลวงคนละวันคนละเวลา. จำนวนเงินที่ถูกหลอกแตกต่างกัน. ตำแหน่งงานที่จะจ้างผู้เสียหายไม่เหมือนกัน. จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ. มิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4-5-6/2512).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจใช้อุบายหลอกลวงประชาชนด้วยการโฆษณาข้อความเท็จทั้งทางเอกสารทางวาจาว่า จำเลยประกอบกิจการค้า ต้องการบุคคลทำงานหลายตำแหน่ง ผู้ใดประสงค์จะเข้าทำงานกับจำเลยจะต้องมีเงินประกันโดยการเข้าหุ้นกับบริษัทที่จำเลยตั้งขึ้นอย่างน้อย 1 หุ้นหุ้นละ 900 บาท สุดแต่เงินเดือนมากหรือน้อย จำเลยสัญญาว่าหากผู้สมัครเข้าทำงานเลิกทำสัญญาจ้างกับจำเลยเมื่อใด จะคืนหุ้นให้บริษัทก็ได้และจะได้รับเงินคืนค่าหุ้นไป ซึ่งความจริงจำเลยหาได้มีและดำเนินกิจการค้าดังคำโฆษณาโดยแท้จริงไม่ นอกจากจะมีกิจการเล็ก ๆน้อย ๆ เป็นการบังหน้า ทั้งนี้ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แก่ตนมาแต่เริ่มแรก ด้วยการหลอกลวงดังกล่าว เป็นเหตุให้ประชาชนผู้ได้อ่านหรือทราบข้อความที่จำเลยโฆษณาหลงเชื่อพากันไปสมัครทำงานกับจำเลย และมอบเงินประกันเป็นค่าหุ้นตามคำหลอกลวงนั้นแก่จำเลยเมื่อบุคคลที่ไปสมัครทราบความจริงได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยและขอรับเงินประกันที่จ่ายเป็นค่าหุ้นคืนจำเลยไม่ยอมคืนให้ จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 4 ปีฐานยักยอกทรัพย์และพ้นโทษมากระทำผิดในคดีนี้อีกภายในกำหนดเวลาไม่เกิน5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 343, 93 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธและรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้องจริง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฉ้อโกงและฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยฉ้อโกง แต่คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยวางแผนประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันเปิดรับสมัครบุคคลมาทำงานกับบริษัท เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อมาสมัครทำงานโดยวางอัตราค่าจ้างเงินเดือนสูง วางระเบียบให้ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อยหนึ่งหุ้นเป็นเงิน 900 บาท บริษัทตั้งขึ้นแล้วจำเลยก็มิได้ดำเนินกิจการค้าดังวัตถุประสงค์แต่อย่างใด สินค้าในบริษัทก็ไม่มีธุรกิจที่จะมอบหมายให้ผู้สมัครรับจ้างปฏิบัติก็ไม่มี ถือได้ว่าจำเลยก่อตั้งบริษัทดำเนินกิจการด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเพื่อหลอกลวงประชาชน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343และวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงของจำเลยดังกล่าวแล้ว โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงผู้เสียหายคนอื่นในกรณีนี้อีกได้เพราะผู้เสียหายเป็นคนละคน ต่างถูกหลอกลวงคนละวันคนละเวลาจำนวนเงินที่ถูกหลอกลวงแตกต่างกัน ตำแหน่งงานที่จะจ้างผู้เสียหายไม่เหมือนกันจึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระมิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน พิพากษากลับให้จำคุกสามปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 จำคุกสี่ปี ให้คืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย.

Share