คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3392/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ทำแผนจัดให้เจ้าหนี้อยู่ทั้งกลุ่มเจ้าหนี้มีประกันในกลุ่มที่ 2 และกลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันในกลุ่มที่ 3 โดยแบ่งเป็นหนี้ที่มีประกัน 7,025,000 บาท และเป็นหนี้ที่ไม่มีประกัน 10,862,024.74 บาท แต่เจ้าหนี้เห็นว่าผู้ทำแผนควรจัดให้เจ้าหนี้อยู่ในกลุ่มเจ้าหนี้มีประกันเพียงกลุ่มเดียว จึงไม่ยอมรับแผนในที่ประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาแผนเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2544 และยื่นคำคัดค้านต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2544 โดยคัดค้านว่า เจ้าหนี้ไม่ยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการลูกหนี้เพราะเห็นว่าการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/42 ทวิดังนี้ คำคัดค้านของเจ้าหนี้จึงเป็นการยื่นคำร้องขอต่อล้มละลายกลางเพื่อให้มีคำสั่งจัดกลุ่มเสียใหม่ให้ถูกต้องตามมาตรา 90/42 ทวิ วรรคสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหมายแจ้งวันนัดประชุมเจ้าหนี้พร้อมแผนฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทางไปรษณีย์ตอบรับลงวันที่ 4 มกราคม 2544 เมื่อแผนฟื้นฟูกิจการได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไว้แล้ว การที่เจ้าหนี้ได้รับแผนฟื้นฟูกิจการย่อมแสดงว่าเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการจัดกลุ่มตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว หากเจ้าหนี้ประสงค์ที่จะคัดค้านเพราะเห็นว่าการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่ได้เป็นไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/42 ทวิ วรรคหนึ่ง เจ้าหนี้ก็ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่ม ถ้ามีพฤติการณ์พิเศษที่เจ้าหนี้ไม่อาจยื่นคำร้องขอได้ภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ก็อาจขอขยายเวลาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 แต่เจ้าหนี้ก็หาได้ทำเช่นนั้นไม่ เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอต่อศาลในวันที่ 22 มกราคม 2544 จึงพ้นกำหนดเวลาที่อาจยื่นคำร้องขอต่อศาลได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/42 ทวิ วรรคสอง
ศาลล้มละลายกลางมิได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการเป็นการไม่ชอบด้วยข้อกำหนดคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542ข้อ 24

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และตั้งให้นางสาวพีพร กิตติวงศ์โสภณ เป็นผู้ทำแผนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่าในการประชุมเจ้าหนี้เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2544 เพื่อปรึกษาว่าจะยอมรับแผนหรือไม่หรือจะแก้ไขอย่างไร ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษรับแผนที่ได้มีการแก้ไขแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/46(2) ขอให้ศาลนัดพิจารณาแผนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งกำหนดนัดพิจารณาแผนให้ผู้ทำแผน ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบโดยชอบแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/56

เจ้าหนี้ยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าหนี้เป็นเจ้าหนี้มีประกันในมูลหนี้ตามสัญญาจำนองฉบับลงวันที่ 14 ธันวาคม 2538 วงเงิน 17,000,000 บาท ยอดหนี้ค้างชำระ ณ วันที่29 มิถุนายน 2543 จำนวน 17,887,024.74 บาท การที่ผู้ทำแผนจัดกลุ่มเจ้าหนี้โดยถือเอาราคาประเมินเป็นเกณฑ์ในการจัดกลุ่มเจ้าหนี้มีประกัน (หนี้กลุ่ม ก.) และหนี้ไม่มีประกัน (หนี้กลุ่ม ข.) โดยคำนวณจากหนี้ทั้งหมดหักด้วยหนี้ที่มีประกัน (หนี้กลุ่ม ก.) หนี้ของเจ้าหนี้ จำนวน 17,887,024.74 บาท แบ่งเป็นหนี้ที่มีประกันจำนวน 7,025,000 บาท และหนี้ที่ไม่มีประกัน จำนวน 10,862,024.74 บาท ทำให้เจ้าหนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรมและเสียเปรียบในการจัดสรรตามสัดส่วนในการชำระหนี้ตามกระแสเงินสดวิธีการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามที่ผู้ทำแผนจัดกลุ่มหนี้ที่มีประกันและหนี้ที่ไม่มีประกันดังกล่าวข้างต้นเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการโอนหลักทรัพย์ชำระหนี้เท่านั้น มิใช่เป็นเกณฑ์กำหนดจัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเจ้าหนี้ควรจัดอยู่ในกลุ่มเจ้าหนี้มีประกัน (หนี้กลุ่ม ก.)ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ทำแผนจัดกลุ่มเจ้าหนี้ในส่วนของเจ้าหนี้เป็นหนี้ที่มีประกันทั้งหมด

ผู้ทำแผนยื่นคำชี้แจงว่า เจ้าหนี้ไม่ได้ร้องคัดค้านการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ต่อศาลภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่มตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/42 ทวิ วรรคสอง การคัดค้านการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ล่วงเลยกำหนดเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ขอศาลมีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านของเจ้าหนี้และมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำชี้แจงว่า ผู้ทำแผนได้จัดกลุ่มเจ้าหนี้ออกเป็น 6 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 เจ้าหนี้มีประกันที่มีจำนวนหนี้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของจำนวนหนี้ทั้งหมด กลุ่มที่ 2 เจ้าหนี้มีประกันที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 3 เจ้าหนี้ไม่มีประกัน(สถาบันการเงิน) กลุ่มที่ 4 เจ้าหนี้ไม่มีประกัน (บริษัทในเครือบี.เอส.วี) กลุ่มที่ 5 เจ้าหนี้ไม่มีประกัน (เจ้าหนี้การค้า) กลุ่มที่ 6 เจ้าหนี้ไม่มีประกัน (กรมศุลกากรและกรมสรรพากร)ผู้ทำแผนได้แยกหนี้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ หนี้กลุ่ม ก. (หนี้มีประกัน) โดยถือเอาตามราคาประเมินทรัพย์สินที่เป็นประกัน โดยใช้ราคาประเมินถัวเฉลี่ยของผู้ประเมินอิสระ2 ราย ในกรณีที่หลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์และใช้ราคาประเมินของผู้ประเมินอิสระ 1 ราย ในกรณีที่หลักประกันไม่เป็นอสังหาริมทรัพย์ หนี้กลุ่ม ข. (หนี้ไม่มีประกัน)คำนวณจากหนี้ของเจ้าหนี้หักด้วยหนี้กลุ่ม ก. (หนี้มีประกัน) สำหรับหลักประกันของเจ้าหนี้ผู้ประเมินอิสระ 2 ราย ได้ประเมินราคาถัวเฉลี่ยไว้จำนวน 7,025,000 บาท การคำนวณราคาหลักประกันชำระหนี้กลุ่ม ก.(หนี้มีประกัน) ของเจ้าหนี้ จึงเป็นเงินจำนวน 7,025,000 บาท ซึ่งเมื่อหักออกจากจำนวนหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้แล้วหนี้กลุ่ม ข. (หนี้ไม่มีประกัน) จึงเป็นเงินจำนวน 10,862,025 บาท

ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน

เจ้าหนี้อุทธรณ์ โดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือ

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้เพียงประการเดียวเกี่ยวกับการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ โดยเจ้าหนี้อุทธรณ์สรุปเป็นใจความว่า เจ้าหนี้ไม่อาจคัดค้านการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ได้ทันเพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดวันนัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาแผนในวันที่ 16 มกราคม 2544 แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งหมายนัดพร้อมแผนฟื้นฟูกิจการลูกหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วก็ตาม เจ้าหนี้ต้องใช้เวลาในการพิจารณาแผน จึงขอเลื่อนการประชุม แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งไม่ให้เลื่อน เจ้าหนี้จึงต้องยื่นคำคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ตามมาตรา 90/57 นอกจากนี้หากเจ้าหนี้ยื่นคำขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการในเรื่องการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ คำขอแก้ไขแผนดังกล่าวก็คงไม่ผ่านการพิจารณาลงมติในที่ประชุมเจ้าหนี้เพราะเจ้าหนี้มิได้มีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะเป็นเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมากนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/42 ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า”การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามมาตรา 90/42(3)(ข) ให้จัดดังต่อไปนี้

(1) เจ้าหนี้มีประกันแต่ละรายที่มีจำนวนหนี้มีประกันไม่น้อยกว่าร้อยละสิบห้าของจำนวนหนี้ทั้งหมดที่อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้ ให้จัดเป็นรายละกลุ่ม

(2) เจ้าหนี้มีประกันที่ไม่ได้จัดกลุ่มไว้ใน (1) ให้จัดเป็นหนึ่งกลุ่ม

(3) เจ้าหนี้ไม่มีประกัน อาจจัดได้เป็นหลายกลุ่ม โดยให้เจ้าหนี้ไม่มีประกันที่มีสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์ที่มีสาระสำคัญเหมือนกันหรือทำนองเดียวกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน

(4) เจ้าหนี้ตามมาตรา 130 ทวิ ให้จัดเป็นหนึ่งกลุ่ม”

สำหรับเจ้าหนี้ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2538 ในวงเงิน 17,000,000 บาท โดยมีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามสัญญาจำนองที่ดินของลูกหนี้เป็นประกันรวม 10 โฉนด รวมยอดหนี้ ณ วันที่ 29มิถุนายน 2543 เป็นจำนวน 17,887,024.74 บาท ผู้ทำแผนจัดให้เจ้าหนี้อยู่ทั้งกลุ่มเจ้าหนี้มีประกันในกลุ่มที่ 2 และกลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันในกลุ่มที่ 3 โดยแบ่งเป็นหนี้ที่มีประกัน จำนวน 7,025,000 บาท และเป็นหนี้ที่ไม่มีประกัน จำนวน 10,862,024.74 บาท แต่เจ้าหนี้เห็นว่าผู้ทำแผนควรจัดให้เจ้าหนี้อยู่ในกลุ่มเจ้าหนี้มีประกันเพียงกลุ่มเดียวจึงไม่ยอมรับแผนในที่ประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาแผนเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2544 และยื่นคำคัดค้านต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2544 โดยคัดค้านว่า เจ้าหนี้ไม่ยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการลูกหนี้เพราะเห็นว่าการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่เป็นไปตามมาตรา 90/42 ทวิ ดังนี้ คำคัดค้านของเจ้าหนี้จึงเป็นการยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อให้มีคำสั่งจัดกลุ่มเสียใหม่ให้ถูกต้องตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “เจ้าหนี้รายใดเห็นว่าการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่ได้เป็นไปตามวรรคหนึ่งอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่มและศาลอาจมีคำสั่งให้จัดกลุ่มเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยเร็ว คำสั่งศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด” คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า เจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่มหรือไม่นั้น ตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ระบุว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหมายแจ้งวันนัดประชุมเจ้าหนี้พร้อมแผนฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทางไปรษณีย์ตอบรับลงวันที่ 4 มกราคม2544 และเจ้าหนี้ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนการประชุมเจ้าหนี้เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2544 ก่อนการประชุมเจ้าหนี้ 4 วัน โดยให้เหตุผลว่า แผนฟื้นฟูกิจการมีรายละเอียดและสาระสำคัญหลายเรื่องซึ่งจะต้องมีผลและมีส่วนได้เสียต่อบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายรวมทั้งเจ้าหนี้ผู้คัดค้านด้วย การพิจารณาแผนจึงจำเป็นต้องใช้ความรอบคอบและระยะเวลาพอสมควรเพื่อประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของเจ้าหนี้ แต่ในวันประชุมเจ้าหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งไม่ให้เลื่อนการประชุม เมื่อแผนฟื้นฟูกิจการได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไว้แล้ว การที่เจ้าหนี้ได้รับแผนฟื้นฟูกิจการจึงแสดงโดยแจ้งชัดว่าเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการจัดกลุ่มแล้วตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว หากเจ้าหนี้ประสงค์ที่จะคัดค้านเพราะเห็นว่าการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่ได้เป็นไปตามมาตรา 90/42 ทวิ วรรคหนึ่ง เจ้าหนี้ก็ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่ม ถ้ามีพฤติการณ์พิเศษที่เจ้าหนี้ไม่อาจยื่นคำร้องขอได้ภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ก็อาจขอขยายเวลาได้ก่อนสิ้นระยะเวลาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 แต่เจ้าหนี้ก็หาได้ทำเช่นนั้นไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอต่อศาลในวันที่ 22 มกราคม 2544 ย่อมพ้นกำหนดเวลาที่อาจยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งจัดกลุ่มเสียใหม่ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 90/42 ทวิ วรรคสอง ที่ศาลล้มละลายกลางไม่รับวินิจฉัยในปัญหาที่เกี่ยวกับการจัดกลุ่มเจ้าหนี้เพราะเห็นว่ามิได้เป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง ศาลล้มละลายกลางยังมิได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ กรณีเป็นการไม่ชอบด้วยข้อกำหนดคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 ข้อ 24 ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งให้ถูกต้อง”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการทั้งสองชั้นศาลให้เป็นพับ

Share