คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1161/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การขออุทธรณ์อย่างคนอนาถานอกจากผู้ขอต้องเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมแล้ว ยังต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าคดีของตนมีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคหนึ่งเมื่อจำเลยยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถามาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีของจำเลยไม่มีเหตุสมควรอุทธรณ์และยกคำร้อง และสั่งว่าหากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายในเวลาที่กำหนด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเนื้อหาของคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยแล้ว อันมีผลให้ยกคำขอนั้นเสียทีเดียว ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายให้สิทธิจำเลยอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่งการที่จำเลยอุทธรณ์พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวจึงต้องห้ามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟัง ทั้งกำหนดเวลาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาชอบที่จะกำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน4,734,025 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน3,931,202.07 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 กันยายน 2542)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 121244 และ 134685 ตำบลหมื่นไวย อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำขออื่นให้ยก

วันที่ 21 มิถุนายน 2544 จำเลยอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่าพิเคราะห์คำร้องและอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว กรณีไม่มีเหตุสมควรอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ต่อไป ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายในวันที่ 2 กรกฎาคม 2544

วันที่ 2 กรกฎาคม 2544 จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 3

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยกคำร้องและให้คืนเงินค่าคำร้อง40 บาท แก่จำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยว่า กรณีไม่มีเหตุสมควรอุทธรณ์ให้ยกคำร้อง มิใช่คำสั่งในเนื้อหาของคำร้องซึ่งจะต้องอุทธรณ์ภายในกำหนด 7 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ได้ภายในกำหนด 1 เดือน ตามมาตรา 223 ประกอบมาตรา 229 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา นอกจากผู้ขอต้องเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมแล้ว ผู้ขอยังจะต้องแสดงให้ศาลเห็นว่า คดีของตนมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถามาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์และศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีของจำเลยไม่มีเหตุสมควรอุทธรณ์และมีคำสั่งยกคำร้องหากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ต่อไปก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในเวลาที่กำหนด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเนื้อหาของคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว และมีผลเป็นคำสั่งให้ยกคำขอนั้นเสียทีเดียวซึ่งอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายที่ให้สิทธิแก่ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งเมื่อพ้นกำหนดเวลาเช่นว่านี้จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ยกคำร้องของจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟังทั้งกำหนดเวลาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาชอบที่จะกำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วได้”

พิพากษายืน หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อไป ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษานี้

Share