แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีคนมาบอกโจทก์ซึ่งเป็นพระภิกษุว่าจำเลยแอบดูโจทก์สังวาสกับสตรี โจทก์กับจำเลยจึงไถ่ถาม จำเลยพูดตอบโจทก์ว่าเห็นตริงได้เกิดโต้เถียงกันขึ้นจำเลยยังย้ำว่า “มึงเอากันจริง แล้วยังมาพาลหาเรื่องอีก” ดังนี้ถือว่าจำเลยมีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์
ย่อยาว
มีคนมาบอกโจทก์ว่า จำเลยแอบดูโจทก์สังวาสกัน ช. เมื่อโจทก์พบจำเลยจึงต่อว่าและโต้เถียงกัน จำเลยได้พูดว่า “มึงเอากันจริงแล้วยังมาพาลหาเรื่องอีก” โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวตอบโจทก์มีข้อความหมายว่าโจทก์ผู้เป็นภิกษุทำปาราชิก อันเป็นการหมิ่นประมาทตามมาตรา ๒๘๒ และจำเลยอาจแลเห้นผลที่โจทก์อาจเสียชื่อเสียงได้ จึงต้องนับว่าจำเลยทำโดยเจตนาจริงอยู่โจทกืไปถามขึ้นก่อนแต่ก็ไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ ทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ม.๒๘๓ และโจทก์ไม่ได้ท้าให้จำเลยสืบความจริงตาม ม.๒๘๔ ด้วยจึงพิพากษาให้ปรับจำเลยตาม ม.๒๘๒
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่าจำเลยไม่เพียงตอบคำถามของโจทก์โดยซื่อ จำเลยกล่าวยืนยัน+เขาให้เสื่อมเสียชื่อเสียงย่อมเป็นเจตนาตาม ม.๔๓ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ยกฎีกาจำเลย