แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ไม่ได้ความว่ากรรมการของผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่เกิดเหตุ หรือมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดที่เป็นภูมิลำเนาของจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางของผู้ร้องไป ผู้ร้องย่อมไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยจะเอารถยนต์บรรทุกของกลางไปกระทำผิดเมื่อใดแม้จำเลยจะผิดนัดผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อหลายงวด และผู้ร้องไม่บอกเลิกสัญญาก็ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสิบสามในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและมีคำสั่งริบของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ 2 คัน คันแรกหมายเลขทะเบียน 80-6055 เพชรบูรณ์ และคันที่สองหมายเลขทะเบียน80-2695 สุโขทัย ของกลางที่ศาลสั่งริบ ผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งคืนรถยนต์ทั้งสองคันให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่า คดียังไม่ถึงที่สุด ผู้ร้องยังไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลางผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ทั้งสองคันและมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยทั้งสิบสามกระทำความผิดในคดีนี้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางไต่สวนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ผู้ร้องได้มอบอำนาจให้นายประสิทธิ์วุฒิศิริศาสตร์ ดำเนินคดีแทน เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2529 จำเลยที่ 7 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-6055เพชรบูรณ์ ของกลางไปจากผู้ร้องในราคา 957,960 บาท ชำระค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญา 135,000 บาท ที่เหลือผ่อนชำระอีก 36 งวด งวดละเดือนตามสัญญาเอกสารหมาย ร.4 ส่วนจำเลยที่ 11 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-2695 สุโขทัย ของกลางไปจากผู้ร้องเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2529 ในราคา 958,600 บาท ชำระค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญา 100,000 บาท ที่เหลือผ่อนชำระ 36 งวด งวดละเดือนตามสัญญาเอกสารหมาย ร.5 หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 7 ชำระค่าเช่าซื้อให้เพียง 386,460 บาท ส่วนจำเลยที่ 11 ชำระค่าเช่าซื้อให้เพียง267,700 บาท หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้อีกเลย ต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2530 เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุมพบไม้สักแปรรูปและที่มิได้แปรรูปผิดกฎหมายอยู่บนรถยนต์บรรทุก 13 คันรวมทั้งรถยนต์ 2 คัน ดังกล่าวด้วย เหตุเกิดในบริเวณรั้วโรงสีกิจรุ่งเรืองซึ่งตั้งอยู่ตำบลแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตากเจ้าพนักงานตำรวจได้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองรวมทั้งบุคคลอื่นซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องวันที่ 21 พฤศจิกายน 2531 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสิบสามและริบรถยนต์บรรทุกของกลางปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1917/2531 ของศาลชั้นต้น ครั้นวันที่18 มกราคม 2532 ผู้ร้องก็มายื่นคำร้องคดีนี้เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางทั้งสองคันเป็นของผู้ร้อง คงมีปัญหาว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยหรือไม่ได้ความว่าผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีสำนักงานตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก มีกรรมการดำเนินการ 5 คน โดยกรรมการสองคนลงนามและประทับตราสำคัญบริษัทมีอำนาจกระทำการแทนบริษัทผู้ร้องได้ปรากฏตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ร.1 ไม่ได้ความว่ากรรมการของบริษัทผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่เกิดเหตุกรณีนี้ซึ่งอยู่ ตำบลแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก หรือมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์หรือสุโขทัย ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 7 และที่ 11 ตามลำดับซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางผู้ร้องย่อมไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยจะเอารถยนต์ของกลางไปกระทำผิดเมื่อใดแม้จำเลยทั้งสองจะผิดนัดผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อหลายงวดและผู้ร้องไม่บอกเลิกสัญญาก็ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยเพราะเป็นเรื่องที่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิเลิกสัญญาเท่านั้น ไม่อาจถือได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1917/2531 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันหมายเลขทะเบียน80-6055 เพชรบูรณ์ และคันหมายเลขทะเบียน 80-2695 สุโขทัย รวม2 คันของกลางแก่ผู้ร้อง.==can not write=== …พิเคราะห์แล้ว โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นเลยว่าจำเลยเคยมีอาวุธปืน