คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 มีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินซึ่งออกทับที่สาธารณประโยชน์นั้น เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อจุดประสงค์ในการสงวนและรักษาไว้ซึ่งสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมหาใช่เป็นการใช้สิทธิอันมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นไม่จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดดังกล่าว
เอกสารที่จำเลยยื่นต่อศาลเพื่อส่งสำเนาให้แก่โจทก์ เป็นพยานที่เกี่ยวกับประเด็นอันสำคัญในคดี แม้จะยังมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน เพราะความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ศาล แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๙๑๕ ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ ๑ ไร่เศษ ราคา๑,๐๙๗,๕๐๐ บาท จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวของโจทก์ ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน๑,๐๙๗,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ในการออกโฉนดฉบับพิพาทจำเลยได้ปฏิบัติตามระเบียบราชการอันถือได้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสมควรแล้ว ต่อมาจำเลยทราบว่าที่ดินตามโฉนดฉบับพิพาทตั้งอยู่ในที่สาธารณประโยชน์อันเป็นที่ราษฎรใช้ร่วมกัน จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ผลปรากฏว่าการออกโฉนดฉบับพิพาททับที่สาธารณประโยชน์ การออกโฉนดดังกล่าวจึงไม่ชอบ อธิบดีกรมที่ดินอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ มีคำสั่งเพิกถอนโฉนดฉบับพิพาทซึ่งเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ที่ดินตามโฉนดฉบับพิพาทมีราคาซื้อขายปัจจุบันเพียงไร่ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความเป็นยุติตามทางนำสืบว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินตามโฉนดพิพาทเลขที่ ๙๙๑๕ ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ ๑ ไร่ ๓๙ ตารางวาจากหลวงจำนงนรินทรรักษ์ ต่อมาปรากฏว่าโฉนดฉบับนี้ออกทับที่สาธารณประโยชน์ จำเลยจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรับผิดโดยถือว่าการเพิกถอนโฉนดฉบับดังกล่าวเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ข้อเท็จจริงยังฟังได้ต่อไปว่าเมื่อตอนหลวงจำนงนรินทรรักษ์ขอให้ทางราชการออกโฉนดที่แปลงนี้ จำเลยได้ดำเนินการให้ตามคำร้องและหลังจากนายประพนธ์ จงกลเจ้าพนักงานของจำเลยได้ออกไปทำการรังวัดเสร็จ ขณะนำกลับมาลงระวางแผนที่ ปรากฏว่าที่แปลงนี้ทับลวดลายซึ่งในระวางระบุว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ ทางจำเลยจึงมีหนังสือสอบถามไปยังนายอำเภอชะอำซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตท้องที่ของตนและได้รับตอบยืนยันกลับมาว่าที่ดินดังกล่าวตามที่หลวงจำนงนรินทรรักษ์นำชี้เพื่อขอให้ออกโฉนดนั้นมิได้ทับที่สาธารณประโยชน์ เมื่อเป็นดังนี้ทางจำเลยจึงได้ออกโฉนดฉบับพิพาทให้ไป จากข้อเท็จจริงที่ได้ความเป็นยุติดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าในชั้นแรกเมื่อมีการออกโฉนด จำเลยก็ได้ทำถูกต้องตามขั้นตอน มิได้ประมาทเลินเล่อแต่ประการใด เมื่อโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์จากหลวงจำนงนรินทรรักษ์ต่อมา ความจึงมาปรากฏในภายหลังจากการที่ราษฎรร้องเรียนว่าโฉนดฉบับพิพาทออกทับที่สาธารณประโยชน์จนทางราชการต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนและปรากฏหลักฐานเป็นจริงตามที่มีผู้ร้องเรียน จำเลยจึงจำต้องใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ มีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดฉบับนี้ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายมอบหมายให้ ทั้งนี้เพื่อจุดประสงค์ในการสงวนและรักษาไว้ซึ่งสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวม จึงหาใช่เป็นการใช้สิทธิอันมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น อันถือเป็นการทำละเมิดดังที่โจทก์ฎีกาไม่ โจทก์จึงไม่อาจกล่าวอ้างเพื่อขอให้จำเลยต้องรับผิดในกรณีเช่นนี้ได้ ส่วนปัญหาว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นโจทก์สมควรมีสิทธิเรียกร้องเอากับผู้ใดนั้นมิใช่เป็นประเด็นที่จะวินิจฉัยในคดีนี้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าเจ้าหน้าที่ศาลไม่ได้นำสำเนาเอกสารที่จำเลยยื่นไว้ต่อศาลให้โจทก์ตรวจดูตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐พยานเอกสารดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้นั้น เห็นว่า เอกสารที่จำเลยยื่นต่อศาลดังกล่าวเป็นพยานที่เกี่ยวกับประเด็นอันสำคัญในคดี แม้จำเลยจะยังมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า๓ วัน เพราะความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ศาล เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๗(๒) ทั้งปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นสำเนาเอกสารต่าง ๆ ต่อศาลเพื่อส่งให้โจทก์เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๖ ก่อนวันเริ่มสืบพยานนัดแรกคือวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๖ เป็นเวลาเกือบ ๒ เดือน โจทก์มีโอกาสตรวจดูและขอรับสำเนาเอกสารก่อนวันสืบพยานได้ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share