แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้มารดาโจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อส. และล. น้องของโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์แต่มารดาโจทก์กลับไปกรอกข้อความดำเนินการจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้แก่ตนเองแล้วมารดาโจทก์จะทะเบียนยกให้แก่จำเลยต่อไปและคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือมอบอำนาจกับหนังสือสัญญาขายที่ดินตามฟ้องเป็นโมฆะให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายและยกให้ดังกล่าวทั้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องด้านทิศใต้เนื้อที่6ไร่เป็นของโจทก์จึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบโจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาในการให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิดังกล่าวเว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา24การที่โจทก์อุทธรณ์และจำเลยฎีกาต่อมาจึงเป็นการอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา227ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ200บาทตามตาราง1ข้อ2ข.ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นบุตรของนายเล็กกับนางละอองชื่นพงษ์ ที่ดินโฉนดเลขที่ 9432 เนื้อที่ 11 ไร่ 1 งานเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ครึ่งหนึ่งทางด้านทิศใต้เนื้อที่ประมาณ6 ไร่เศษ โดยนายเล็กบิดาโจทก์ยกให้โจทก์ครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2501 นางละอองมารดาโจทก์บอกโจทก์ว่า นายเล็กต้องการให้นางสะเทื้อนและนางละมัยน้องของโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าวด้วยนางละอองจึงให้โจทก์ลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจโดยยังไม่ได้กรอกข้อความให้นางละอองเพื่อไปดำเนินการจดทะเบียนโอนแต่นางละอองกลับจดทะเบียนโอนขายที่ดินของโจทก์ให้แก่ตนเองและยกที่ดินนั้นให้จำเลย อันเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของโจทก์ทำให้นิติกรรมของนางละอองในฐานะตัวแทนผู้รับมอบอำนาจทำการขายให้แก่ตนเอง และนิติกรรมที่ นางละออง ทำการยกให้แก่จำเลยตกเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่า หนังสือมอบอำนาจที่นางละออง ชื่นพงษ์ นำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อทำการจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9432 เฉพาะส่วนของโจทก์กับสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดดังกล่าวระหว่างโจทก์กับนางละอองชื่นพงษ์ ตกเป็นโมฆะ และที่ดินตามโฉนดเลขที่ 9432 ทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 6 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กับเพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ และการจดทะเบียนยกให้ และให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องทั้งการจดทะเบียนการให้ได้กระทำตั้งแต่ พ.ศ. 2509 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า 10 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องและขับไล่โจทก์ออกไปจากที่ดินของจำเลยให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไปจากที่ดินของจำเลย ห้ามมิให้โจทก์และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลยต่อไป และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และบริวารจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่เป็นโมฆะ ไม่มีกฎหมายระบุให้ต้องฟ้องร้องภายใน 1 ปีจำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง เพราะจำเลยได้รับโอนที่ดินแปลงพิพาทมาโดยไม่สุจริต จำเลยไม่เคยเกี่ยวข้องหรือเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาจำเลยแถลงขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเสียก่อน จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้ววินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไป แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยนั้นเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่าโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าโจทก์ลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้นางละออง ชื่นพงษ์ ไปดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อนางสะเทื้อนและนางละมัยน้องของโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ แต่นางละอองกลับไปกรอกข้อความดำเนินการจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้แก่นางละออง แล้วนางละอองก็จดทะเบียนยกให้แก่จำเลยต่อไป และคำขอท้ายฟ้องก็ขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือมอบอำนาจกับหนังสือสัญญาขายที่ดินตามฟ้องตกเป็นโมฆะขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายและยกให้ดังกล่าว ทั้งขอให้ศาลมีคำพิพากษา ที่ดินตามฟ้องด้านทิศใต้เนื้อที่ 6 ไร่เป็นของโจทก์จึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ฟ้องโจทก์มิใช่กรณีถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 หรือลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 หรือกรณีต้องอยู่ภายใต้อายุความทั่วไป 10 ปี ดังจำเลยฎีกา ซึ่งในการฟ้องคดีใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์สินคืนจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 นั้น ไม่มีกำหนดเวลาในการให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิดังกล่าว เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ศาลจะต้องวินิจฉัยตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้สำหรับปัญหาข้อเท็จจริงในข้ออื่นต่อไปซึ่งการจะวินิจฉัยเช่นนั้นได้จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบ จะงดสืบพยานโจทก์และจำเลยไปเสียทีเดียวหาชอบไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไปแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24 การที่โจทก์อุทธรณ์และจำเลยฎีกาต่อมา จึงเป็นการอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นละ 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ข.ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
พิพากษายืน