คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ต้นไม้ของกลางขึ้นเองตามธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ผู้เสียหายครอบครองทำประโยชน์อยู่ ย่อมเป็นของรัฐไม่ใช่ของผู้เสียหาย แต่โจทก์ฟ้องว่าเป็นของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญ ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2531 เวลากลางวัน มีคนร้ายลักตัดไม้ขบดงจำนวน 1 ต้น ราคา 1,030 บาท ของนางไข่แดงทิพย์เพ็ง ผู้เสียหายซึ่งปลูกอยู่ในสวนยางของผู้เสียหายไปโดยทุจริต หลังจากเกิดเหตุจำเลยได้ครอบครองไม้ขบดงแปรรูปจำนวน 4 แผ่นซึ่งแปรรูปมาจากไม้ขบดงของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป ทั้งนี้โดยจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ หรือมิฉะนั้นจำเลยรับของโจร ช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย รับไว้ในครอบครองซึ่งไม้ขบดงแปรรูปจำนวน 4 แผ่น ดังกล่าว โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่คนร้ายได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 357 และสั่งคืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือนของกลางคืนเจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า จำเลยตัดไม้ขบดงซึ่งขึ้นอยู่เองตามธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ผู้เสียหายครอบครองทำประโยชน์อยู่และนำไปแปรรูปเป็นไม้ของกลาง มีปัญหาวินิจฉัยชั้นฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ไม้ขบดงของกลางขึ้นเองตามธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ย่อมเป็นของรัฐไม่ใช่ของผู้เสียหายแต่โจทก์ฟ้องว่าเป็นของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป
พิพากษายืน

Share