คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3366/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

รถยนต์ของโจทก์ ผู้เช่าซื้อเอาประกันภัยโดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ผู้เช่าซื้อให้ผู้อื่นเช่ารถไป ไม่เป็นการโอนวัตถุที่เอาประกันภัยตาม มาตรา 875 รถถูกลักเป็นภัยตามกรมธรรม์ โจทก์ฟ้องผู้รับประกันภัยได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย45,791 บาทกับดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำนวนเงินเป็น 72,791 บาทจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยฎีกาเป็นข้อแรกว่า นางนิผู้เอาประกันภัยได้นำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดพัฒนาคาร์เร้นท์ครอบครองและให้บุคคลภายนอกเช่าไป นางนิไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบการโอนการครอบครองรถและช่องแห่งการเสี่ยงภัยเพิ่มมากขึ้น สัญญาประกันภัยจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยคงมุ่งหมายจะอ้างมาตรา 875 ดังที่เคยอ้างมาแล้วในอุทธรณ์ หากแต่พิม์เลขมาตราผิดไปมาตรา 875 วรรคสองบัญญัติว่า “ถ้าในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัย และบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอนเช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ” แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่านางนิ อัศวฤทธิรงค์ ได้เช่าซื้อรถยนต์คันที่เป็นมูลกรณีพิพาทนี้จากโจทก์ และได้เอาประกันภัยรถคันนี้ไว้กับจำเลย โดยระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ แล้วนางนิอัศวฤทธิรงศ์ ได้นำรถคันนี้ไปมอบให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดพัฒนาคาร์เร้นท์จัดการให้เช่าเพราะไม่มีข้อห้ามในกรมธรรม์ประกันภัย ต่อมารถถูกลักไปในระหว่างที่มีผู้เช่าไปใช้ ดังนี้จะเห็นได้ว่านางนิ อัศวฤทธิรงค์ มิได้โอนรถซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดพัฒนาคาร์เร้นท์เลย นางนิ อัศวฤทธิรงค์ มีส่วนได้เสียในฐานะผู้เช่าซื้อรถคันนี้อยู่อย่างไร ก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยไม่ได้โอนวัตถุที่เอาประกันภัยแล้ว กรณีก็ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 875 วรรคสอง สัญญาประกันภัยรายพิพาทไม่กลายเป็นโมฆะ”

พิพากษายืน

Share