แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ๆ ให้จำเลยยึดถือครอบครองไว้แทนเพื่อหลบหลีกไม่ให้ถูกยึดทรัพย์ บัด
นี้จำเลยจะขายที่พิพาทนี้ โจทก์จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของดจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ฝ่ายจำเลยก็ต่อสู้ว่าที่
พิพาทเป็นของจำเลยๆ ครอบครองดดยอำนาจของตนเอง หาได้ครอบครองไว้แทนโจทก์ไม่ ดังนี้ เป็นเรื่องโจทก์ฟ้อง
ขอให้แสดงสิทธิเป็นเจ้าของที่พิพาทห้ามจำเลยเกี่ยวข้องหาใช่เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนได้โดยอาศัยนิติกรรมการ
ฝากทรัพย์ไม่ ฉะนั้นจะยกเอาอายุความเรื่องการฝากทรัพย์ขึ้นวินิจฉัยไม่ได้ และประเด็นในคดีนี้คงมีเพียงว่า ที่พิ
พาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยยึดถือครอบครองแทนจริงหรือไม่ ถ้าเป็นความจริง และจำเลยมิได้บอกกล่าวแสดง
เจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองแล้ว แม้จำเลยจะครอบครองมาช้านานเพียงใด ก็หาได้สิทธิเป็นเจ้า
ของไม่ โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของอยู่ตลอดมา./
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์แพ้คดีนางนำๆ ขู่ว่าจะฟ้องร้องยึดทรัพย์ โจทก์จึงคบคิดกับจำเลยซึ่งเป็นที่เอาสวนยางพิพาทมอบให้
จำเลยยึดถือไว้แทน เพื่อหลบหลีกการยึดทรัพย์ บัดนี้จำเลยจะขายสวนพิพาทนี้แก้ผู้อื่น จึงขอให้ศาลพิพากษาว่า สวนยางพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ฯลฯ
จำเลยต่อสู้ว่า สวนยางพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยหักสร้างและใช้สิทธิครอบครองมา ๒๐ ปีเศษแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า สวนยางพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยเป็นแต่ผู้รับฝากไว้ให้ครอบครองแทน จึงห้ามมิให้จำเลย
เกี่ยวข้อง. ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้จะฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยเป็นผู้รับฝากไว้ให้ครอบครองแทนก็ตาม แต่ในการใช้สิทธิ
เรียกร้องทรัพย์ที่ฝากคืนจากจำเลยจะต้องฟ้องเสียภายใน ๑๐ ปี เรื่องนี้ฝากกันมาร ๑๑ ปีแล้ว จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์อ้างว่าเป็นที่ของโจทก์ ให้จำเลยยึดถือครอบครองแทนไว้เพื่อหลบหลีกไม่ให้ถูกยึดทรัพย์ ฝ่าย
จำเลยก็สู้ว่าเป็นที่ดินของจำเลยครอบครองโดยอำนาจของตนเอง หาได้ครอบครองไว้แทนโจทก์ไม่ จึงเป็นเรื่องโจทก์
ฟ้องขอให้แสดงสิทธิเป็นเจ้าของที่พิพาท ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง หาใช่เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืน โดยอาศัยนิติกรรมการ
ฝากทรพัย์ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาอายุความเรื่องการขายฝากทรัพย์ขึ้นวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ประเด็นที่จะ
ต้องวินิจฉัยคงมีว่า สวนพิพาทรายนี้เป็นของโจทก์ให้จำเลยยึดถือครอบครองแทนจริงหรือไม่ หากว่าเป็นความจริง และจำเลยมิได้บอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองแล้ว แม้จำเลยจะครอบครองมาช้านาน
เพียงใด ก็หาได้สิทธิเป็นเจ้าของไม่ จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาใหม่./