แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมาบ้านผู้เสียหายทั้งสองแล้วขอดูเช็คจำนวน 11 ฉบับที่จำเลยมอบแก่ผู้เสียหายที่ 1 ไว้เพื่อชำระหนี้เงินกู้ว่ามียอดเงินรวมทั้งหมดเท่าใด ผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อมอบเช็คทั้ง 11 ฉบับให้จำเลยดู จำเลยได้เอาเก็บใส่กระเป๋าทำทีรื้อค้นของในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วบอกผู้เสียหายที่ 1 ว่าเช็คของจำเลยหมดขอมอบเช็คเอกสารหมาย จ.1 แก่ผู้เสียหายที่ 1 ไว้แทนซึ่งเป็นเช็คที่จำเลยทราบว่าผู้ออกเช็คเพิ่งถึงแก่ความตายโดยอุบัติเหตุในวันเดียวกันนั้น และบอกว่าวันที่ 3 พฤศจิกายน 2532 จำเลยจะนำเงินมาชำระให้โดยไม่ต้องนำเช็คเอกสารหมาย จ.1 ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโดยจำเลยยืนยันว่าเป็นเช็คที่ได้รับชำระหนี้มา ถึงวันนัดจำเลยไม่นำเงินมาชำระกลับบอกให้ผู้เสียหายทั้งสองนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ผู้เสียหายที่ 1 ให้ผู้เสียหายที่ 2นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน2532 แล้ว ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้เสียหายที่ 1จึงทวงถามเงินจากจำเลย จำเลยกลับเพิกเฉยพฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ให้มอบเช็ค 11 ฉบับคืนให้จำเลยโดยจำเลยเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวให้ผู้เสียหายที่ 1 มาแต่ต้น ในขณะที่กล่าวหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1นั้น แล้วเป็นเหตุให้จำเลยได้ไปซึ่งเช็ค 11 ฉบับ อันเป็นเอกสารสิทธิถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินตามกฎหมายของผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ออกเช็คถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว เช็คเอกสารหมาย จ.1 ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยฉ้อโกงผู้เสียหาย โจทก์ไม่อุทธรณ์คำขอดังกล่าวจึงยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้นโจทก์จะขอให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวในชั้นฎีกาอีกไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341และให้จำเลยคืนเงิน 342,950 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 จำคุก 4 เดือน และปรับ 3,000 บาท พฤติการณ์แห่งคดีจำเลยได้กู้ยืมเงินผู้เสียหายทั้งสองมาร่วมปีโดยไม่มีพฤติการณ์ว่าจะฉ้อโกงผู้เสียหายทั้งสองมาก่อน และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีประวัตินิสัย ความประพฤติ เป็นข้อเสียหายร้ายแรง จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยได้กู้เงินและออกเช็คจำนวน 11 ฉบับ มอบให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองยึดถือไว้ จำเลยนำเงินไปให้ผู้ตายกู้ต่อโดยได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าที่จำเลยเสียแก่ผู้เสียหายทั้งสองผู้ตายได้ออกเช็คเอกสารหมาย จ.1ให้แก่จำเลยไว้ ผู้เสียหายที่ 1 คืนเช็ค 11 ฉบับ ให้แก่จำเลยแล้วได้รับเช็คเอกสารหมาย จ.1 จากจำเลยไว้แทน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยหลอกลวงเอาเช็ค 11 ฉบับคืนไปจากผู้เสียหายที่ 1 โดยเจตนาทุจริตตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองเบิกความยืนยันว่า วันที่ 26ตุลาคม 2532 ระหว่างเวลา 16-17 นาฬิกา จำเลยมาที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองแล้วขอดูเช็คจำนวน 11 ฉบับ ที่จำเลยมอบแก่ผู้เสียหายที่ 1ไว้เพื่อชำระหนี้เงินกู้ว่ามียอดเงินรวมทั้งหมดเท่าใด จำเลยจะออกเช็คชำระเงินให้ใหม่เป็นเช็คฉบับเดียว ผู้เสียหายที่ 1หลงเชื่อมอบเช็คทั้ง 11 ฉบับ แก่จำเลยดู จำเลยได้เอาเก็บใส่กระเป๋าทำทีรื้อค้นของในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วบอกแก่ผู้เสียหายที่ 1 ว่า เช็คของจำเลยหมดขอมอบเช็คเอกสารหมาย จ.1 แก่ผู้เสียหายที่ 1 ไว้แทนและบอกว่าวันที่ 3 พฤศจิกายน 2532 จำเลยจะนำเงินมาชำระหนี้ให้โดยไม่ต้องให้ผู้เสียหายที่ 1 นำเช็คเอกสารหมาย จ.1ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ผู้เสียหายที่ 1 ทักท้วงที่ไม่ใช่เช็คของจำเลย และเรื่องวันที่ในเช็คซึ่งมีการแก้ไข จำเลยก็ได้ยืนยันว่าเป็นเช็คที่จำเลยได้รับชำระหนี้มา ไม่มีปัญหาอะไร แล้วจำเลยก็กลับไป ต่อมาวันที่ 3 พฤศจิกายน 2532 จำเลยไม่นำเงินมาชำระแก่ผู้เสียหายที่ 1 กลับบอกให้ผู้เสียหายทั้งสองนำเช็คเอกสารหมายจ.1 ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ผู้เสียหายที่ 1 ให้ผู้เสียหายที่ 2นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน2532 แล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้เสียหายที่ 1จึงทวงถามเงินจากจำเลย จำเลยกลับเพิกเฉย พฤติการณ์ดังกล่าวมาเห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ให้มอบเช็ค11 ฉบับ คืนให้จำเลยโดยจำเลยเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 มาแต่ต้นในขณะที่กล่าวหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1นั้นแล้วเป็นเหตุให้จำเลยได้ไปซึ่งเช็ค 11 ฉบับ อันเป็นเอกสารสิทธิถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินตามกฎหมายของผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายไปก่อนแล้วเช็คเอกสารหมาย จ.1 ไม่สามารถที่จะเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง
ที่โจทก์มีคำขอท้ายฎีกาให้สั่งจำเลยคืนเงินจำนวน 342,950 บาทแก่ผู้เสียหายทั้งสองตามคำฟ้องด้วยนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอดังกล่าว โจทก์ไม่อุทธรณ์ คำขอดังกล่าวจึงยุติไปแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้น โจทก์จะขอให้จำเลยคืนเงินตามคำขอดังกล่าวในชั้นฎีกาอีกไม่ได้
พิพากษากลับ เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น