คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3351/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนให้ที่ดิน เพื่อเรียกที่ดินคืนจากจำเลย โดยอ้างเหตุว่า จำเลยฉ้อโกงโจทก์ทั้งห้าว่าจะยืมที่ดินของโจทก์ทั้งห้าไปจำนองต่อสถาบันการเงิน แต่จำเลยกลับกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจผิดไปจากความประสงค์ที่แท้จริง โดยปลอมว่า โจทก์ทั้งห้ายกที่ดินให้แก่จำเลย และโจทก์ทั้งห้ายังได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและฉ้อโกง คดีอาญาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งห้านำสืบมายังไม่พอฟังว่าคดีมีมูล พิพากษายกฟ้อง แม้จะเป็นการวินิจฉัยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม แต่คดีถึงที่สุดแล้ว อีกทั้งได้วินิจฉัยในประเด็นเกี่ยวข้องโดยตรงกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งห้าไม่มีมูลให้ฟังว่า จำเลยกระทำความผิด ฉะนั้น ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

ย่อยาว

โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่ดินและคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2175, 2176, 2177, 2178, 2180 ตำบลผาจุก อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยไม่ติดภาระใดๆ แก่โจทก์ทั้งห้า หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนสัญญาให้ที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดอุตรดิตถ์โดยให้กลับคืนสถานภาพเดิมของที่ดินดังกล่าว โดยใช้คำพิพากษาแสดงเจตนาของคู่สัญญา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2366/2542 ที่โจทก์ทั้งห้าฟ้องจำเลยกับพวก ข้อหาความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ฉ้อโกง แล้วว่า พยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งห้าไต่สวนมายังไม่พอฟังว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจ พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งถึงที่สุดแล้วหรือไม่ โจทก์ทั้งห้าฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนให้ที่ดินเพื่อเรียกที่ดินคืนจากจำเลย โดยอ้างเหตุว่าจำเลยฉ้อโกงโจทก์ทั้งห้าว่าจะยืมที่ดินของโจทก์ทั้งห้าไปจำนองต่อสถาบันการเงินเพื่อนำเงินมาใช้ในกิจการของบริษัทที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 กับจำเลยเป็นผู้ถือหุ้น แต่จำเลยกลับกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจผิดไปจากความประสงค์ที่แท้จริงโดยปลอมว่าโจทก์ทั้งห้ายกที่ดินให้แก่จำเลย และโจทก์ทั้งห้ายังได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและฉ้อโกง ผลคดีอาญาปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งห้านำสืบมายังไม่พอฟังว่าคดีมีมูล พิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2366/2542 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า คดีอาญาดังกล่าวแม้จะเป็นการวินิจฉัยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตามแต่คดีถึงที่สุดแล้ว อีกทั้งได้วินิจฉัยในประเด็นเกี่ยวข้องโดยตรงกับที่โจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้แล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งห้าไม่มีมูลให้ฟังว่าจำเลยได้กระทำความผิด ฉะนั้น ในการพิพากษาคดีนี้ศาลจึงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวว่า ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ทั้งห้าที่ว่า จำเลยหลอกลวงและปลอมหนังสือมอบอำนาจนั้นรับฟังไม่ได้ โจทก์ทั้งห้าจึงไม่อาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโดยอ้างเหตุดังกล่าวได้ และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งห้าอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share