คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 335/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนมีประเด็นในเรื่องที่โจทก์ขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์นาพิพาท ให้ขับไล่ และห้ามไม่ให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับนาพิพาท แม้คดีนี้จะมีประเด็นแต่เพียงเรื่องค่าสินไหมทดแทนก็ตาม แต่ประเด็นที่จะต้องพิจารณาก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน โจทก์มีทางเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าเสียหายที่ได้เกิดขึ้นก่อนโจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อน และที่จะเกิดขึ้นต่อไป กรณีเช่นนี้ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก ที่ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันฟ้องกันอีก ฟ้องโจทก์คดีเรื่องนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องคดีเรื่องก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางสาย งามจันอัด ได้ยกที่นาให้แก่โจทก์หนึ่งแปลง และโจทก์ได้เข้าครอบครองแล้ว แต่นายอำเภออ้างว่าหนังสือยกให้ไม่สมบูรณ์ ไม่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และไม่โอนนาให้โจทก์ จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นทายาทของนางสายนายอำเภอจึงโอนนาให้จำเลยที่ 1 ซึ่งได้โอนต่อให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 เมื่อโจทก์เข้าไปครอบครองนาได้ประมาณ 1 ปี จำเลยอ้างว่าเป็นของจำเลย และแจ้งให้ตำรวจจับคนของโจทก์ที่เข้าไปทำนา โจทก์ได้ฟ้องจำเลยขอให้พิพากษาว่านาเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้ทำนารวม 3 ปี ขาดรายได้เป็นเงินปีละ 7,000 บาท ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยใช้เงินรวม 3 ปีเป็นเงิน 21,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การต่อสู้คดีในเรื่องค่าเสียหาย และตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ให้ยกฟ้อง และให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมกับค่าทนาย 250 บาทแทนจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีเรื่องนี้ก็โดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ว่า นายอำเภอโนนสูงโอนนาพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ และโจทก์เข้าไปครอบครองแล้วให้จำเลย จำเลยจึงแจ้งให้ตำรวจจับคนของโจทก์ที่เข้าไปทำนา โจทก์จึงขาดรายได้เพราะไม่กล้าให้คนเข้าไปทำนาพิพาท ส่วนคดีที่โจทก์จำเลยเป็นความกันในคดีเรื่องก่อน ข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ก็คือ นายอำเภอโนนสูงโอนนาพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และโจทก์เข้าไปครอบครองแล้วให้จำเลยที่ 1 ซึ่งได้โอนต่อไปให้จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเรื่องเดียวกัน แม้ข้อหาของโจทก์ในคดีเรื่องก่อนจะเป็นเรื่องที่ขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์นาพิพาท ให้เพิกถอนการจดทะเบียนชื่อของจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์นาพิพาท ให้ขับไล่และห้ามจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับนาพิพาท และในคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่ประเด็นที่จะต้องพิจารณาก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน คือ ประเด็นที่ว่า การที่จำเลยเข้าไปครอบครองนาพิพาทของโจทก์ และไม่ยอมให้คนของโจทก์เข้าไปทำนาพิพาท เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และคำขอของโจทก์ท้ายฟ้องคดีเรื่องก่อนที่ขอให้ศาลพิพากษาบังคับขับไล่และห้ามจำเลยกับบริวารไม่ให้เกี่ยวข้องกับนาพิพาท ชี้ชัดว่าจำเลยเข้าไปครอบครองนาพิพาทจนโจทก์ไม่กล้าให้คนเข้าไปทำนาพิพาทโจทก์ต้องเสียหายเพราะขาดรายได้จากการทำนามาตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนและต่อ ๆ มา ฉะนั้น โจทก์จึงมีทางเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนโจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนแล้ว และที่จะเกิดขึ้นต่อไป กรณีเช่นนี้ ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก ที่ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันฟ้องกันอีกฟ้องโจทก์คดีเรื่องนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องโจทก์คดีเรื่องก่อน ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share