แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ ภรรยาจำเลย และบุคคลอื่น ๆ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท การที่จำเลยและภรรยาจำเลยปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินพิพาทแล้วหาประโยชน์จากการรับฝากรถยนต์และให้เช่าทำเป็นร้านเสริมสวยมีรายได้ประจำเดือนเป็นส่วนตัวนั้นมิใช่เป็นการใช้ที่ดินพิพาทตามสภาพปกติจึงขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ
โจทก์เรียกร้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายโดยอ้างว่าโจทก์อาจเซ้งหน้าดินที่ดินพิพาทให้ผู้อื่นสร้างตึกแถวให้เช่า จะได้ค่าเซ้งอย่างน้อย 80,000 บาทขอให้จำเลยใช้เงิน 80,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย แต่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันต่อเนื่องคำนวณถึงวันฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่ค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการปฏิบัติผิดข้อตกลงของจำเลยศาลอุทธรณ์จะให้จำเลยใช้ค่าเสียหายรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทอีกส่วนหนึ่งหาได้ไม่เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ปัญหาที่ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และบุคคลอื่น ๆ เป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 2405 แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 ไร่ 58 ตารางวา เมื่อประมาณ พ.ศ. 2513 จำเลยได้ขออาศัยปลูกสร้างโรงซ่อมรถยนต์ในที่ดินดังกล่าวโดยสัญญาจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่เจ้าของรวมทุกคนโจทก์อนุญาตจำเลยจึงปลูกสร้างอาคารเลขที่ 58/18 แต่มิได้ให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่เจ้าของรวมและยังดัดแปลงอาคารแบ่งเป็นห้องให้บุคคลอื่นเช่าอยู่อาศัยเก็บผลประโยชน์เป็นของตนเองอันเป็นการผิดสัญญาขออาศัย ทำให้โจทก์และเจ้าของรวมทุกคนเสียหาย ที่ดินดังกล่าวอาจเซ้งหน้าดินให้ผู้อื่นสร้างตึกแถวจะได้ค่าเซ้งอย่างน้อย 80,000 บาท จะได้ค่าเช่าตึกแถวอีกอย่างน้อยเดือนละ 400 บาท ทั้งจะได้ตึกแถวเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนอาคารเลขที่ 58/18 ให้จำเลยและบริวารขนย้ายสัมภาระออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยใช้เงิน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยให้การว่า นางสวิง นาคะจินดา ภรรยาจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินตามฟ้องด้วย จำเลยปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของนางสวิงด้วยความยินยอมของนางสวิง ไม่ได้อาศัยสิทธิโจทก์และไม่เคยขออาศัยโจทก์ไม่เคยสัญญาจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่เจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ไม่มีการผิดสัญญาขออาศัย ค่าเซ้งหน้าดินไม่เกิน 10,000 บาท ค่าเช่าตึกแถวไม่เกินเดือนละ 200 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมยังมิได้แบ่งแยกจำเลยปลูกสร้างอาคารพิพาทโดยใช้สิทธิของนางสวิงภรรยาจำเลย มิได้อาศัยสิทธิของโจทก์แต่ผู้เดียว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยลำพัง ประเด็นเกี่ยวกับความเสียหายไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้รับความยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ ให้มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับที่ดินพิพาท จำเลยปลูกสร้างอาคารในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง วินิจฉัยว่าการปลูกสร้างอาคารโดยกั้นเป็นห้องสำหรับฝากรถยนต์และให้บุคคลอื่นเช่าทำเป็นร้านเสริมสวยขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยได้ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมิใช่ค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการปฏิบัติผิดข้อตกลงของจำเลย แต่ที่ดินส่วนที่จำเลยปลูกสร้างอาคารอาจให้เช่าได้ค่าเช่าประมาณเดือนละ 300 บาท กำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 300 บาท พิพากษากลับให้จำเลยรื้อถอนอาคารเลขที่ 58/18 ให้จำเลยและบริวารขนย้ายสัมภาระออกไปจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาทกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยและนางสวิงภรรยาจำเลยใช้อาคารที่ปลูกสร้างในที่ดินพิพาทหาประโยชน์จากการรับฝากรถยนต์และให้เช่าทำเป็นร้านเสริมสวยมีรายได้ประจำเดือนเป็นส่วนตัว มิใช่เป็นการใช้ที่ดินพิพาทตามปกติสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 วรรคแรก
แต่ในข้อที่เกี่ยวกับค่าเสียหายปรากฏว่า โจทก์อ้างว่าอาจเซ้งอาคารที่พิพาทให้ผู้อื่นสร้างตึกแถวให้เช่า จะได้ค่าเซ้งอย่างน้อย 80,000 บาท ขอให้จำเลยใช้เงิน 80,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย โดยมิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายส่วนหนึ่งคำนวณถึงวันฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าค่าเสียหาย 80,000 บาท เรียกร้องมิใช่ค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการปฏิบัติผิดข้อตกลงของจำเลยไม่มีสิทธิได้รับแล้วเช่นนี้ ศาลอุทธรณ์จะให้จำเลยใช้ค่าเสียหายรายเดือนนับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทอีกส่วนหนึ่งหาได้ไม่เป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์