คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3343/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปรากฏตามสมุดรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่า นายส.ร่วมกับจำเลยที่ 1 หลอกลวงเอาเงินโจทก์ร่วมไป ทำให้โจทก์ร่วมเสียหาย จึงได้มาพบพนักงานสอบสวนแจ้งความร้องทุกข์และมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการจนกว่าคดีถึงที่สุดเป็นการกล่าวหาเฉพาะนายส. กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่ได้กล่าวหาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วยทั้งไม่ได้กล่าวหาว่ามีพวกของนายส. จำเลยที่ 1 หรือบุคคลอื่นที่ยังไม่ทราบชื่อร่วมกระทำผิด การกล่าวหาจึงไม่ ครอบคลุมถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่เป็นการกล่าวหาที่ โจทก์ร่วมมีเจตนาจะให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้รับโทษไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(7),123 พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนและพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83, 33 ริบของกลาง และให้จำเลยทั้งห้ารวมกันคืนเงินจำนวน 3,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
ระหว่างการพิจารณา นางสมผล รัตนโกศล ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4และที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 จำคุกคนละ 3 ปี และให้ร่วมกันคืนเงินจำนวน 3,000,000 บาท แก่โจทก์ร่วมสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ในชั้นนี้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 หรือไม่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ร่วมได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าถูกนายสุพจน์หลอกลวงเอาเงินไปจำนวน 3,000,000 บาท โจทก์ร่วมได้ติดตามสืบหาตัวนายสุพจน์ตลอดมาแต่ไม่พบจึงได้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ติดตามตัวนายสุพจน์มาเจรจากัน หากการเจรจาไม่เป็นที่ตกลงกันจะได้มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไปปรากฏตามสมุดรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.1 ต่อมาโจทก์ร่วมไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมว่า ในการหลอกลวงนี้มีจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยานายสุพจน์ได้ร่วมทำการหลอกลวงด้วยโจทก์ร่วมได้ติดตามนายสุพจน์กับจำเลยที่ 1 ตลอดมา แต่ยังไม่พบโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายจึงได้มาพบพนักงานสอบสวนแจ้งความร้องทุกข์และมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการจนกว่าคดีถึงที่สุดปรากฏตามสมุดรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.1เห็นได้ว่า ในเอกสารดังกล่าวหาเฉพาะนายสุพจน์กับจำเลยที่ 1เท่านั้นที่ร่วมกระทำผิด ไม่ได้กล่าวหาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วย ทั้งไม่ได้กล่าวหาว่ามีพวกของนายสุพจน์จำเลยที่ 1 หรือบุคคลอื่นร่วมกระทำผิดแต่อย่างใด การกล่าวหาจึงไม่ครอบคลุมถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่เป็นการกล่าวหาที่โจทก์ร่วมมีเจตนาจะให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้รับโทษ ไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7), 123 เมื่อไม่มีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจทำการสอบสวนเพราะเป็นความผิดต่อส่วนตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง และพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ร่วมและร้อยตำรวจโทสมาน สีสันต์ต่างเบิกความยืนยันมีการแจ้งความและขอให้ติดตามกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีนั้น รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีก็ไม่มีการกล่าวหากลุ่มคนร้ายดังกล่าว ที่โจทก์ฎีกาว่าเหตุที่รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมิได้กล่าวหาของจำเลยที่ 2ถึงที่ 5 เพราะผู้เสียหายยังไม่ทราบว่ากลุ่มผู้ร่วมกระทำผิดมีชื่อสกุลโดยละเอียดอย่างไรนั้น แม้จะยังไม่ทราบชื่อสกุลของผู้ร่วมกระทำผิดโดยละเอียดก็สามารถที่จะกล่าวหาว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดที่ยังไม่ทราบชื่อได้ แต่รายงานประจำวันก็มิได้กล่าวหาว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดกับนายสุพจน์หรือจำเลยที่ 1แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share