คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานสรรพากรนำหมายเรียกไปส่งให้โจทก์แล้วไม่พบโจทก์และบุคคลในบ้านไม่ยอมรับหมายเรียก เป็นกรณีที่ไม่สามารถส่งหมายเรียกตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานสรรพากรจึงชอบที่จะส่งโดยวิธีปิดหมายตามมาตรา 8 วรรคสองได้ เมื่อปรากฏว่าการส่งหมายเรียกให้โจทก์ เจ้าพนักงานสรรพากรได้ส่งโดยวิธีปิดหมายไว้ที่บ้านที่โจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรครั้งสุดท้าย ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้รับหมายเรียกนั้นแล้ว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคสาม การส่งหมายเรียกโดยวิธีปิดหมายตามประมวลรัษฎากรมาตรา 8 วรรคสอง กฎหมายเพียงแต่บัญญัติให้ปิดหมายไว้ ณ บ้านที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรครั้งสุดท้าย มิได้บังคับให้ต้องปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของบุคคลนั้นเหมือนเช่นกรณีการส่งหมายตาม มาตรา 8 วรรคแรก และเมื่อการส่งหมายเรียกโดยวิธีปิดหมายได้กระทำโดยถูกต้องตามกฎหมายย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นอันได้รับหมายเรียกนั้นแล้ว ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 8 วรรคสาม แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดแจ้งหรือส่งหมายเรียกนั้นมาให้โจทก์ทราบก็ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 21,25 และ 87(3) มิได้บัญญัติว่ากรณีที่จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ จะต้องเป็นเรื่องที่ผู้ได้รับหมายเรียกได้รับทราบหมายเรียกแล้ว โดยเฉพาะตามมาตรา 25 ใช้ถ้อยคำเพียงว่า “ผู้ที่ได้รับหมาย…” เท่านั้น หาได้ใช้คำว่า”ผู้ที่ได้รับทราบหมาย” ซึ่งรับกับถ้อยคำตามมาตรา 8 วรรคสามที่บัญญัติว่า “เมื่อได้ปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวข้างต้นให้ถือว่าเป็นอันได้รับแล้ว” จึงเป็นที่เห็นได้ว่าการส่งหมายเรียกหรือหนังสืออื่นซึ่งมีถึงบุคคลใดตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรหากได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรมาตรา 8 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ก็ให้ถือว่าเป็นอันได้รับแล้วโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าผู้รับหมายเรียกหรือหนังสืออื่นนั้น จะได้รับทราบหมายเรียกหรือหนังสืออื่นนั้นหรือไม่ก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าจากโจทก์ โจทก์อุทธรณ์การประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ อ้างว่าต้องห้ามตามมาตรา 21, 25 และ 87(3) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งไม่ถูกต้องเพราะโจทก์ไม่เคยรับทราบหมายหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบ ขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้วินิจฉัยและให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในชั้นนี้เพียงว่า การส่งหมายเรียกให้โจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงที่ศาลภาษีอากรกลางรับฟังมาและโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้เถียงฟังได้เป็นยุติว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกส่งไปให้โจทก์ ณ บ้านเลขที่ 92 หมู่ที่ 10ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านที่โจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 15, 30 และ 81 และความข้อนี้โจทก์ก็ยอมรับในคำฟ้องรวมทั้งในอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้ย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ดจริง และตามเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 69-73 ก็ปรากฏว่าเจ้าพนักงานสรรพากรเป็นผู้นำหมายเรียกไปส่งให้แก่โจทก์แต่ไม่พบตัวโจทก์และบุคคลในบ้านไม่ยอมรับหมายเรียกไว้แทน เจ้าพนักงานสรรพากรจึงส่งโดยวิธีปิดหมายดังนี้ เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานสรรพากรนำหมายเรียกไปส่งให้โจทก์แล้วไม่พบโจทก์และบุคคลในบ้านไม่ยอมรับหมายเรียกเช่นนี้เป็นกรณีที่ไม่สามารถส่งหมายเรียกตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานสรรพากรจึงชอบที่จะส่งโดยวิธีปิดหมายตามมาตรา 8 วรรคสองได้ เมื่อปรากฏว่าการส่งหมายเรียกให้โจทก์ เจ้าพนักงานสรรพากรได้ส่งโดยวิธีปิดหมายไว้ที่บ้านที่โจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรครั้งสุดท้าย ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้รับหมายเรียกนั้นแล้ว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคสาม การส่งหมายเรียกให้โจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่จังหวัดร้อยเอ็ดเพียงเพื่อจะได้มีสิทธิสมัครเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ดเท่านั้น โจทก์มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด การส่งหมายเรียกให้โจทก์โดยวิธีปิดหมายที่จังหวัดร้อยเอ็ดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า การส่งหมายเรียกโดยวิธีปิดหมายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคสอง กฎหมายเพียงแต่บัญญัติให้ปิดหมายไว้ ณ บ้านที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรครั้งสุดท้ายก็เป็นอันใช้ได้ กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของบุคคลนั้น เหมือนเช่นกรณีการส่งหมายตามมาตรา 8 วรรคแรกแต่อย่างใด และที่โจทก์อ้างว่าผู้ที่อยู่ในบ้านที่โจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่จังหวัดร้อยเอ็ดไม่ได้แจ้งหรือส่งหมายเรียกมาให้โจทก์ทราบที่กรุงเทพมหานครจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับทราบการส่งหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินแล้วนั้น เห็นว่า เมื่อการส่งหมายเรียกให้โจทก์โดยวิธีปิดหมายได้กระทำโดยถูกต้องตามกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นอันได้รับหมายเรียกนั้นแล้วตามประมวลรัษฎากรมาตรา 8 วรรคสาม แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดแจ้งหรือส่งหมายเรียกนั้นมาให้โจทก์ทราบก็ตาม ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า กรณีที่จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 21, 25 และ 87(3)จะต้องเป็นเรื่องที่ผู้รับหมายไม่ปฏิบัติตามหมายหรือคำสั่งซึ่งหมายความว่าเป็นกรณีที่ผู้ได้รับหมายได้รับทราบหมายหรือคำสั่งแล้วเท่านั้น จึงจะปฏิบัติตามหมายหรือคำสั่งได้ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับทราบหมายเรียก โจทก์ย่อมไม่อาจปฏิบัติตามหมายเรียกได้ กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์นั้น เห็นว่า ตามบทกฎหมายที่โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์ดังกล่าวข้างต้นไม่มีบทมาตราใดที่บัญญัติว่ากรณีที่จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์จะต้องเป็นเรื่องที่ผู้ได้รับหมายเรียกได้รับทราบหมายเรียกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 25 ก็ใช้ถ้อยคำเพียงว่า “ผู้ที่ได้รับหมาย…”เท่านั้น หาได้ใช้คำว่า “ผู้ที่ได้รับทราบหมาย” ดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ ซึ่งก็รับกับถ้อยคำตามมาตรา 8 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า”เมื่อได้ปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวข้างต้น ให้ถือว่าเป็นอันได้รับแล้ว” ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นที่เห็นได้ว่าการส่งหมายเรียกหรือหนังสืออื่นซึ่งมีถึงบุคคลใดตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร หากได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง กฎหมายก็ให้ถือว่าเป็นอันได้รับแล้วโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าผู้รับหมายเรียกหรือหนังสืออื่นนั้นจะได้รับทราบหมายเรียกหรือหนังสืออื่นนั้นแล้วหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกโดยไม่มีเหตุอันสมควร โจทก์ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมิน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share