คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3336/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นแบบแสดงรายการขอชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลโดยขอผ่อนเป็น 3 งวด งวดแรกชำระเป็นเงินสด งวดที่ 2 และที่ 3 จำเลยสั่งจ่ายเช็ครวม 2 ฉบับล่วงหน้ามอบให้แก่โจทก์ การสั่งจ่ายเช็คของจำเลยจึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระด้วยเงิน มิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 2 ฉบับ และจำเลยไม่เคยนำเงินตามเช็คทั้งสองฉบับไปชำระให้แก่โจทก์เลย มูลหนี้ซึ่งเป็นค่าภาษีอากรจึงยังไม่ระงับสิ้นไปโจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้เดิมได้และเนื่องจากมูลหนี้เดิม เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อผูกพันซึ่งได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากร จึงอยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากรกลางที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 7 (4) โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลภาษีอากรกลาง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 เมื่อมีการชำระหนี้ด้วยเช็คแทนการชำระหนี้ด้วยเงินแล้วจะเป็นกี่ครั้งก็ตาม ถ้ายังไม่มีการใช้เงินตามเช็คเหล่านั้น หรือแม้จะมีการชำระเป็นบางส่วน หนี้เดิมก็ยังไม่ระงับสิ้นไป
จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินค่าภาษีอากรงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ลงวันที่ล่วงหน้าไว้ในภายในเดือนพฤศจิกายน 2528 เมื่อเช็คทั้งสองงวดถึงกำหนดสั่งจ่ายธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองงวดนั้น โจทก์ไม่ได้รับเงินค่าภาษีอากรภายในเดือนพฤศจิกายน 2528 จำเลยจึงหมดสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ในการชำระเงินเพิ่มนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2528 จนถึงชำระเสร็จ ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการขยายเวลายื่นรายการการชำระหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรข้อ 8 วรรคสอง
พระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ.2497 มาตรา 12 (1) ให้อำนาจเทศบาลออกเทศบัญญัติเรียกเก็บภาษีบำรุงเทศบาลจากภาษีการค้าที่เรียกเก็บตามประมวลรัษฎากรโดยเรียกเก็บเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละสิบของภาษีการค้า หากผู้มีหน้าที่ชำระภาษีบำรุงเทศบาลไม่นำเงินภาษีบำรุงเทศบาลไปชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดที่พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบหรือที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลังถือว่าผู้นั้นผิดนัด ต้องเสียเงินเพิ่มตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๑ ยื่นแบบขอชำระภาษีอากรเพื่อเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๗ เป็นเงินทั้งสิ้น ๗๗๐,๗๗๐ บาท โดยขอผ่อนชำระเป็น ๓ งวด ทั้งนี้ โดยอาศัยสิทธิตามประกาศของกระทรวงการคลังในงวดแรกจำเลยได้ชำระให้โจทก์แล้วในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๘ จำนวน ๗๐,๗๗๐ บาท งวดที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ให้สัญญาว่าจะชำระในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๘ เป็นเงิน ๒๐๓,๐๐๐ บาท และงวดที่ ๓ จะชำระในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ เป็นเงิน ๕๑๕,๐๐๐ บาท โดยได้ออกเช็คของธนาคารกรุงไทย จำกัด รวม ๒ ฉบับ จำเลยที่ ๒ ได้ตกลงเข้าทำสัญญาค้ำประกัน ครั้นต่อมาเมื่อเช็คทั้ง ๒ ฉบับ ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามแต่จำเลยทั้งสองก็ไม่นำเงินมาชำระ ฉะนั้น จำเลยที่ ๑ จึงหมดสิทธิที่จะได้รับประโยชน์จากประกาศกระทรวงการคลัง และต้องรับผิดชดใช้เงินค่าภาษีการค้าประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๗ ที่จะต้องชำระในงวดที่ ๒ เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ต้องชำระดังกล่าวตามมาตรา ๘๙ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรนั้นตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๗ ถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๑๙ เดือน คิดเป็นเงิน ๕๗,๐๐๐ บาท และค่าภาษีบำรุงเทศบาลในอัตราร้อยละ ๑๐ ของเงินเพิ่มภาษีอีกเป็นเงิน ๕,๗๐๐ บาท รวมเป็นค่าภาษีทั้งสิ้น ๒๖๒,๗๐๐ บาทเงินค่าภาษีการค้าประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๗ ที่จะต้องชำระในงวดที่ ๓ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาทจะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือน นับตั้งแต่วันท่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๗ จนถึงวันฟ้องรวม ๑๙ เดือนเช่นกัน เป็นเงิน ๑๔๒,๕๐๐ บาท ภาษีบำรุงเทศบาลในอัตราร้อยละ ๑๐ ของเงินเพ่ม คิดเป็นเงิน ๑๔,๒๕๐ บาท รวมเป็นเงินค่าภาษีทั้งสิ้น ๖๕๖,๗๕๐ บาท เมื่อรวมค่าภาษีทั้ง ๒ งวดที่ค้างดังกล่าวแล้วข้างต้นจำเลยที่ ๑ จะต้องชำระให้กับโจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๙๑๙,๔๕๐ บาท และจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือแทนจำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าภาษีอากรจำนวน ๙๑๙,๔๕๐ บาท แก่โจทก์ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินเพิ่มภาษีการค้าในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาทเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ ๑๐ ของเงินเพิ่มภาษีการค้าที่จำเลยต้องชำระดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำความตกลงกับโจทก์เรื่องภาษีอากรค้างชำระและได้ออกเช็คชำระเงินให้ตามงวดเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ และวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ตามลำดับโจทก์หรือผู้ทำการแทนของโจทก์ได้ออกใบรับให้จำเลยที่ ๑รับไว้ ครั้นต่อมาปรากฏว่าธนาคารตามเช็คทั้ง ๒ ฉบับ ปฏิเสธการจ่ายเงิน กรณีจึงเป็นเรื่องผิดนัดในส่วนแพ่งเรื่องตั๋วเงินและการที่จำเลยที่ ๒ เข้าค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ก็เป็นการค้ำประกันหนี้เงินที่ต้องชำระตามงวดจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่เป็นผู้เสียภาษีไม่มีเจตนาค้ำประกันเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อกรณีเป็นมูลหนี้เรื่องตั๋วเงินไม่ใช่เป็นเรื่องภาษีอากรโจทก์จึงไม่สามารถเรียกเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจากจำเลยที่ ๑ ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ยังศาลภาษีอากรกลาง เพราะเป็นคดีแพ่งเรื่องตั๋วเงินไม่ใช่คดีเกี่ยวเนื่องกับภาษีอากรตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรกลางและเป็นคดีอยู่นอกเขตอำนาจของศาลนี้ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและในระหว่างการพิจารณาของศาลโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลอนุญาต
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เอกสารหมาย จ.๕ และ จ.๗ ที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายผ่อนชำระค่าภาษีการค้า งวดที่ ๒ และที่ ๓ ให้แก่โจทก์จึงไม่ทำให้หนี้ค่าภาษีการค้าที่จำเลยที่ ๑ ต้องชำระตามกฎหมายนั้นระงับสิ้นไป มูลหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรและข้อผูกพันซึ่งได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากรคดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากรกลาง ตามมาตรา ๗ (๒) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ ศาลภาษีอากรกลางย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ และหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวแล้วจำเลยที่ ๑ ก็ยังไม่ชำระเงินค่าภาษีการค้างวดที่ ๒ และที่ ๓ ทั้งที่โจทก์ได้ทวงถามแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดใช้เงินค่าภาษีที่ค้างพร้อมเงินเพิ่มเป็นเงิน ๗๑๘,๐๐๐ บาทและยังต้องรับผิดชำระหนี้เบี้ยปรับเนื่องจากผิดนัดไม่ชำระเงินค่าภาษีที่ยังเหลือเป็นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาทโดยต้องเสียเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑.๕ ของต้นเงินดังกล่าวอีกตามมาตรา ๘๙ ทวิ วรรคท้ายแห่งประมวลรัษฎากร จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมเงินเพิ่มนับถึงวันฟ้องเป็นเงินทั้งสิ้น ๙๑๙,๔๕๐ บาทกับให้ชำระเงินเพิ่มภาษีการค้าในอัตราร้อยละ ๑.๕ ของต้นเงินที่ค้างชำระ ๗๐๐,๐๐๐ บาท และเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ ๑๐ ของเงินเพิ่มภาษีการค้าที่จำเลยต้องชำระดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินจำนวนค่าภาษีที่จำเลยที่ ๑ ต้องเสียตามมาตรา๘๙ ทวิ วรรคท้าย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ในปัญหาที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่าเมื่อหนี้เดิมเป็นหนี้ภาษีอากรได้ระงับไปแล้วด้วยการแปลงหนี้ใหม่เป็นหนี้ตามตั๋วเงินโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรรวมทั้งเงินเพิ่ม และเบี้ยปรับใด ๆ จากจำเลยอีก และคดีก็ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลภาษีอากรกลางนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ ๑ ยื่นแบบแสดงรายการขอชำระภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๗๐,๗๗๐ บาท เอกสารหมาย จ.๓ และขอผ่อนชำระเป็น ๓ งวดตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องขยายเวลายื่นรายการ การชำระหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ข้อ ๗ ประกาศ ณ วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๒๘ เอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๑ จำเลยที่ ๑ ได้ชำระภาษีงวดแรกจำนวนเงิน ๗๐,๗๗๐ บาท แก่โจทก์แล้วส่วนงวดที่ ๒ และที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด ๒ ฉบับจำนวนเงิน ๒๐๓,๐๐๐ บาท และจำนวนเงิน ๕๑๕,๐๐๐ บาท ตามลำดับลงวันที่ล่วงหน้าตามเอกสารหมาย จ.๕ และ จ.๗ มอบให้แก่โจทก์ไว้เพื่อชำระค่าภาษีทั้งสองงวดดังกล่าว จึงเห็นได้ชัดว่ามูลหนี้ตามเช็คทั้งสองฉบับนั้นเป็นค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระให้แก่โจทก์ การที่จำเลยที่ ๑สั่งจ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.๕ และ จ.๗ มอบให้โจทก์จึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ด้วยเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ วรรคหนึ่ง มิใช่เป็นแปลงหนี้ใหม่ดังที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ และการชำระหนี้ด้วยเช็คแทนการชำระหนี้ด้วยเงินนั้นต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ วรรคสาม แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเอกสารหมาย จ.๕ และ จ.๗ ทั้งสองฉบับแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่เคยนำเงินตามเช็คทั้งสองฉบับไปชำระให้แก่โจทก์เลย มูลหนี้ซึ่งเป็นค่าภาษีอากรจึงยังไม่ระงับสิ้นไป โจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้เดิมได้และเนื่องจากมูลหนี้เดิมเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อผูกพันซึ่งได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากร จึงอยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากรกลางที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๗ (๔) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลภาษีอากรกลางได้ อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ ต้องเป็นเรื่องที่ชำระด้วยตั๋วเงินเพียงครั้งเดียว ถ้ามีการชำระหนี้ด้วยเช็คหลายครั้งไม่อาจนำ มาตรา ๓๒๑ มาปรับใช้ได้นั้น ตามมาตรา ๓๒๑ มิได้บัญญัติไว้ชัดเจนดังที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอ้าง ดังนั้นเมื่อมีการชำระหนี้ด้วยเช็คแทนการชำระหนี้ด้วยเงินแล้วจะเป็นกี่ครั้งก็ตาม ถ้ายังไม่มีการใช้เงินตามเช็คเหล่านั้นหรือแม้จะมีการชำระเป็นบางส่วนแล้วหนี้เดิมก็ยังไม่ระงับสิ้นไป
ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อมาว่า หากจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มแล้ว ควรชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนนับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ ตามประกาศกระทรวงการคลังเอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๘ วรรค ๑ มิใช่นับตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๗ ซึ่งเป็นวันที่ค้างชำระค่าภาษีอากร ตามที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษานั้นเห็นว่า ตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว ข้อ ๘ ได้กำหนดว่า ‘การขอชำระภาษีอากรตามประกาศนี้ ถ้าผู้ยื่นคำร้องของชำระหรือนำส่งภาษีอากรเป็นจำนวนเงินค่าภาษีอากรที่ต้องชำระหรือนำส่งรวมกันทุกประเภททุกกรณี ตั้งแต่ห้าแสนบาทขึ้นไปจะขอผ่อนชำระเป็นงวดก็ได้โดยงวดแรกต้องชำระพร้อมกับยื่นแบบตามข้อ ๗ และอย่างช้างวดสุดท้ายต้องชำระหรือนำส่งให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘ และต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของภาษีอากรที่ต้องชำระหรือนำส่ง นับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ จนถึงวันชำระเงิน………
ภาษีอากรที่ขอผ่อนชำระตามวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ชำระหรือนำส่งภายในกำหนดเวลาตามประกาศนี้ ให้หมดสิทธิตามประกาศนี้เฉพาะส่วนที่มิได้ชำระหรือนำส่งตามกำหนดเวลา’
ฉะนั้นผู้ที่ขอผ่อนชำระภาษีอากร นอกจากจะต้องชำระค่าภาษีอากรแล้วยังจะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนด้วยและผู้ที่จะมีสิทธิเสียเงินเพิ่มในอัตราดังกล่าว นับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ จนถึงวันชำระเงินนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ชำระภาษีอากรงวดสุดท้ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๘ แต่ถ้ามิได้ชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดดังกล่าว ผู้นั้นก็หมดสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ในการชำระเงินเพิ่มนับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ จนถึงวันชำระเงินตามวรรคสองในกรณีของจำเลยที่ ๑ ถึงแม้จำเลยที่ ๑ จะออกเช็คสั่งจ่ายเงินชำระค่าภาษีอากรงวดที่ ๒ และงวดที่ ๓ ลงวันที่ล่วงหน้าไว้ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๘ ก็ตามแต่เมื่อเช็คทั้งสองงวดถึงกำหนดสั่งจ่าย ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองงวดนั้นโจทก์ไม่ได้รับเงินค่าภาษีอากรภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๑ จึงหมดสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ในการชำระเงินเพิ่มนับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ จนถึงวันชำระเงินเสร็จตามวรรคสองของประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว ดังนั้น การที่ศาลภาษีอากรกลางให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชำระเงินเพิ่มนับแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๗ ซึ่งเป็นวันถัดจากวันสุดท้ายที่จำเลยที่ ๑ มีสิทธิยื่นแบบแสดงรายการขอชำระภาษีอากรประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๗ จึงเป็นการชอบแล้ว
ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่มจากเงินค้างค่าภาษีบำรุงเทศบาล เพราะเงินภาษีบำรุงเทศบาลต้องเรียกเก็บตามพระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๑๒ (๑) ซึ่งให้เรียกเก็บร้อยละสิบของภาษีการค้า มิได้รวมถึงการเรียกเก็บร้อยละสิบของเงินเพิ่มของภาษีการค้าด้วย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙, ๘๙ ทวิ ก็ให้อำนาจเรียกเก็บเงินเพิ่มของภาษีการค้าเท่านั้นมิได้ให้อำนาจเรียกเก็บเงินเพิ่มจากภาษีบำรุงเทศบาลจึงทำให้การคำนวณภาษีอากรคลาดเคลื่อนไปนั้นเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๑๒ (๑) เป็นบทบัญญัติให้อำนาจเทศบาลออกเทศบัญญัติเรียกเก็บภาษีบำรุงเทศบาลจากภาษีการค้าที่เรียกเก็บตามประมวลรัษฎากรโดยเรียกเก็ยเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละสิบของภาษีการค้า ฉะนั้นในการเรียกเก็บภาษีการค้าทุกครั้งจะต้องเรียกเก็บภาษีบำรุงเทศบาลในอัตราร้อยละสิบของภาษีการค้าทุกครั้งเช่นเดียวกันหรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าภาษีบำรุงเทศบาลเป็นส่วนหนึ่งของภาษีการค้าเมื่อคำนวณภาษีบำรุงเทศบาลโดยวิธีการดังกล่าวแล้ว ผลที่คำนวณได้ตามพระราชบัญญัติรายได้เทศบาลมาตรา ๑๔ ให้ถือว่าเป็นภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ดังนั้นหากผู้มีหน้าที่ชำระภาษีบำรุงเทศบาลไม่นำเงินภาษีบำรุงเทศบาลไปชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดที่พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบหรือที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลังถือว่าผู้นั้นผิดนัดต้องเสียเงินเพิ่มตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรจึงเห็นได้ชัดว่า เรียกเงินเพิ่มจากเงินค้างค่าภาษีบำรุงเทศบาลได้ ส่วนการคำนวณภาษีอากรที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าคลาดเคลื่อนนั้น เห็นว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องชำระภาษีอากรอยู่ ๒ รายการคือภาษีการค้าเป็นเงิน ๗๐๐,๗๐๐ บาทและภาษีบำรุงเทศบาลเป็นเงิน ๗๐,๐๗๐ บาท รวมแล้วเป็นเงินภาษีอากรที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระทั้งสิ้น ๗๗๐,๗๗๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ. ๒ จำเลยที่ ๑ ผ่อนชำระภาษีอากรงวดแรกไปแล้วเป็นเงิน ๗๐,๗๗๐ บาท จึงเหลือเงินภาษีอากรที่จำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ชำระให้แก่โจทก์อีกเป็นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระเงินภาษีอากรค้างชำระดังกล่าว จึงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนของเงินภาษีอากรที่ต้องชำระ คือ ๗๐๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๗ จนกว่าจำเลยที่ ๑ จะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินภาษีอากรและเงินเพิ่มตามฟ้องโจทก์จึงเป็นการถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน.

Share