คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3333/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่มีผู้นำเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้เสียหายไปเก็บไว้ที่ท้ายกระโปรงรถยนต์ของผู้เสียหายคันที่ให้จำเลยนำไปใช้ในการทำงาน โดยจำเลยไม่ทราบมาก่อนดังที่จำเลยเบิกความกล่าวอ้างนั้น ยังถือมิได้ว่าผู้เสียหายได้สละการครอบครองเครื่องคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด เครื่องคอมพิวเตอร์จึงยังอยู่ในความยึดถือของผู้เสียหาย และจำเลยควรจะรู้ว่าผู้เสียหายจะต้องติดตามเอาเครื่องคอมพิวเตอร์คืน การที่จำเลยยอมให้นาย ณ. นำเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการที่จำเลยเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปจากการครอบครองของผู้เสียหายเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่ความผิดฐานยักยอกไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๔, ๓๓๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕(๑๑) วรรคแรก ลงโทษจำคุก ๔ ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย ๒ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และตามที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ผู้เสียหายซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แบบกระเป๋าหิ้ว ยี่ห้อคอมแพค จากบริษัทโอลิมเปียไทย จำกัด ในราคา ๑๗๕,๔๘๐ บาท ผู้เสียหายเก็บเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไว้ที่ห้องสมุดของฝ่ายเทคนิคเพื่อให้พนักงานฝ่ายเทคนิคใช้ในการให้บริการแก่ลูกค้าและจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันหล่อลื่นและจารบี เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๘ พนักงานฝ่ายเทคนิคและฝ่ายขายอุตสาหกรรมเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องและน้ำมันเชื้อเพลิงไปจัดสัมมนาที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น โดยนำเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องดังกล่าวไปด้วย หลังจากเสร็จการสัมมนามีการเก็บสิ่งของใส่ท้ายรถยนต์ของผู้เสียหายซึ่งนำไปใช้ในระหว่างสัมมนา และเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวถูกนำมาเก็บไว้ที่ท้ายกระโปรงรถยนต์ของผู้เสียหายคันที่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายขายอุตสาหกรรมน้ำมันหล่อลื่นของผู้เสียหายเป็นผู้ขับ แล้วต่อมาจำเลยให้นายณัฐพล ชินอมรพงษ์ พี่จำเลยนำเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนั้นไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอก มิใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ เห็นว่า การที่มีผู้นำเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้เสียหายไปเก็บไว้ที่ท้ายกระโปรงรถยนต์ของผู้เสียหายคันที่ให้จำเลยนำไปใช้ในการทำงานโดยจำเลยไม่ทราบมาก่อนดังที่จำเลยเบิกความกล่าวอ้างนั้น ผู้เสียหายมิได้สละการครอบครองเครื่องคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด เครื่องคอมพิวเตอร์ยังอยู่ในความยึดถือของผู้เสียหาย และจำเลยควรจะรู้ว่าผู้เสียหายจะต้องติดตามเอาเครื่องคอมพิวเตอร์คืน การที่จำเลยยอมให้นายณัฐพลนำเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการที่จำเลยเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปจากการครอบครองของผู้เสียหายเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่เป็นความผิดฐานยักยอกดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาไม่ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก ซึ่งมิใช่คดีความผิดต่อส่วนตัวแล้ว แม้ผู้เสียหายจะมีหนังสือมอบอำนาจให้นายวิชาญถอนคำร้องทุกข์ในการดำเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทำความผิดตามเอกสารหมายเลข จ.๖ ก็ตาม ก็ไม่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแต่ประการใด ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น_ _ _
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๔ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ๔ เดือน ต่อครั้งตลอดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้นั้น กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด ๓๐ ชั่วโมงนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

นายธนาลักษณ์ ศิริลักษณ์ ผู้ช่วย
นางสาวสุดรัก สุขสว่าง ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายเกษม ควรเจริญ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share