แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยซึ่งเป็นมารดา พ. อายุ 74 ปี อ่านหนังสือไม่ออก แต่เขียนชื่อของตนเองได้ นำสำเนามรณบัตร สำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี สำเนารายงานการชันสูตรพลิกศพซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอมที่ พ. ปลอมขึ้นทั้งฉบับและรับรองสำเนาไว้ก่อนแล้ว นำไปยื่นต่อ ค. พนักงานของโจทก์ร่วม และ น. พนักงานของธนาคาร ท. โดยจำเลยไม่ทราบว่าเป็นเอกสารราชการปลอม เพื่อขอรับสินไหมทดแทนมรณกรรมของกรมธรรม์ประกันชีวิตของ พ. และขอไถ่ถอนจำนองกับธนาคาร โดยเข้าใจว่ายื่นเพื่อขอรับเงินกู้ที่เคยทำสัญญาไว้ตามที่ พ. แจ้งขั้นตอนและวิธีการให้ทำในลักษณะถูกใช้เป็นเครื่องมือ จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับ พ. ปลอมเอกสารราชการ ใช้เอกสารราชการปลอมและฉ้อโกง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268, 341 กับให้จำเลยชดใช้เงิน 6,866,694.98 บาท แก่ผู้เสียหาย
ระหว่างพิจารณา บริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมและข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ส่วนข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการ โจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมาย รับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 (เดิม) มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 (เดิม) และมาตรา 341 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการและฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม เมื่อจำเลยกับพวกเป็นผู้ร่วมกันปลอมและร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม จึงลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 (เดิม) และมาตรา 83 ตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่กระทงเดียว ความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมกับฐานร่วมกันฉ้อโกงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 (เดิม) และมาตรา 83 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงิน 6,866,694.98 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้นายเพชรรัตน ทำสัญญาประกันชีวิตกับโจทก์ร่วม จำนวน 3 กรมธรรม์ ฉบับแรกเป็นการคุ้มครองสินเชื่อการกู้ยืมเงิน มีผู้รับประโยชน์ คือธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กับจำเลยและนายธรรมศาสตร์ กรมธรรม์ฉบับที่ 2 คุ้มครองสินเชื่อประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี มีผู้รับประโยชน์เช่นเดียวกับกรมธรรม์ฉบับแรก และกรมธรรม์ฉบับที่ 3 โจทก์ร่วมยกเลิกไปภายหลังเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยเป็นมารดาของนายเพชรรัตน ซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่าร่วมกับจำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ ใช้เอกสารราชการปลอมและฉ้อโกง นายเพชรรัตนให้การรับสารภาพ ศาลมีคำพิพากษาแล้วตามสำเนาคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1044/2560 ของศาลชั้นต้น ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายร่วมกับนายเพชรรัตนปลอมใบมรณบัตรของสำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลตำบลโนนสัง รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีและรายงานการชันสูตรพลิกศพของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรโนนสัง อันเป็นเอกสารราชการขึ้นทั้งฉบับ แล้วร่วมกันนำเอกสารดังกล่าวไปยื่นประกอบคำแถลงของผู้อ้างสิทธิสินไหมมรณกรรมเพื่อแสดงต่อโจทก์ร่วมขอรับเงินค่าสินไหมมรณกรรมของกรมธรรม์ประกันชีวิตของนายเพชรรัตน โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และนายเพชรรัตนถึงแก่ความตายจริง จึงจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันชีวิตของนายเพชรรัตนให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นายธรรมศาสตร์และจำเลยเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 6,866,694.98 บาท คำสั่งศาลชั้นต้นที่ตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายเพชรรัตนเป็นเอกสารราชการปลอม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดร่วมกับนายเพชรรัตน ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมีแต่พยานที่ยืนยันว่าจำเลยนำเอกสารที่นายเพชรรัตนปลอมมายื่นประกอบคำแถลงขอรับค่าสินไหมทดแทนและไถ่ถอนจำนองที่ดิน แต่ไม่มีพยานโจทก์คนใดรู้เห็นว่าจำเลยร่วมปลอมเอกสารดังกล่าวกับนายเพชรรัตน ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการตามฟ้อง ส่วนความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมและร่วมกันฉ้อโกงนั้น เห็นว่า แม้นายคมน์จะเป็นพนักงานของโจทก์ร่วม แต่ก็ไม่มีสาเหตุใดที่ต้องใส่ร้ายจำเลย อีกทั้งเบิกความถึงขั้นตอนการตรวจรับเอกสารเบื้องต้นโดยไม่มีข้อพิรุธสงสัยว่านำความเท็จมาปรักปรำจำเลย เชื่อได้ว่าเบิกความตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รับฟังได้ว่าจำเลยไปยื่นคำแถลงของผู้อ้างสิทธิสินไหมทดแทนมรณกรรมต่อนายคมน์ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองต่างเบิกความว่า สำเนาเอกสารทั้งหมดที่จำเลยนำมายื่นมีการลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้องไว้แล้ว จำเลยเพียงแต่ลงชื่อในคำแถลงขอรับสินไหมทดแทน บันทึกกรณีลูกหนี้ไถ่ถอนจำนอง และสมุดทะเบียนรับเอกสารสิทธิเท่านั้น ซึ่งจำเลยนำสืบว่า ไม่ทราบว่าเอกสารที่นายเพชรรัตนให้นำไปยื่นเป็นเอกสารปลอม และไปติดต่อตามที่นายเพชรรัตนแจ้งว่าเป็นการขอรับเงินกู้ที่เคยทำสัญญาไว้แล้ว เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ที่นายเพชรรัตนทำสัญญากู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินและทำสัญญาประกันชีวิตไว้ ต่อมาวางแผนฉ้อโกงโจทก์ร่วมว่าถึงแก่ความตายเพราะต้องการได้เงินค่าสินไหมทดแทน การที่ให้จำเลยนำเอกสารราชการที่นายเพชรรัตนทำปลอมขึ้นไปติดต่อนายคมน์และนางสาวนันทวันก็เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่นายเพชรรัตนวางแผนฉ้อโกงโจทก์ร่วมไว้ เพียงแต่นายเพชรรัตนปรากฏตัวลงมือกระทำเองไม่ได้ ประกอบกับจำเลยเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญา นายเพชรรัตนจึงจำเป็นต้องให้จำเลยนำเอกสารราชการปลอมทั้งหมดไปแสดงตนว่าเป็นผู้รับประโยชน์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนที่โจทก์ร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กำหนดเป็นเงื่อนไขในการขอรับสินไหมทดแทนและไถ่ถอนจำนองที่ดิน ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 74 ปี อ่านหนังสือไม่ออก เขียนได้แต่ชื่อของตนเอง จึงน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ทราบว่าเอกสารที่จำเลยนำไปติดต่อขอรับค่าสินไหมทดแทนกรณีมรณกรรมและไถ่ถอนจำนองที่ดินเป็นเอกสารปลอมตามที่จำเลยนำสืบ ทั้งพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบก็มีเพียงว่า จำเลยนำเอกสารดังกล่าวมายื่นเท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกับนายเพชรรัตนใช้เอกสารปลอมตามฟ้อง และเห็นว่าลักษณะการกระทำความผิดของนายเพชรรัตนมีการวางแผนอย่างซับซ้อน จึงไม่น่าเชื่อว่านายเพชรรัตนจะให้จำเลยทราบถึงแผนการหรือให้จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย การที่จำเลยนำเอกสารราชการปลอมไปยื่นต่อนายคมน์และนางสาวนันทวันก็อาจเป็นเพราะทำตามที่นายเพชรรัตนแจ้งขั้นตอนและวิธีการให้ทำในลักษณะถูกใช้เป็นเครื่องมือ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับนายเพชรรัตนฉ้อโกงโจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง