คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3316/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 หมายความว่า คดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์มรดก ด้วยกัน ด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดก จำเลยมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดก และโจทก์ฟ้องคดี เพื่อเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยผู้ครอบครองแทน กรณีจึงมิใช่ เรื่องโจทก์เรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์มรดก จำเลยย่อมไม่อาจอ้างอายุความมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาตัดฟ้องโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และนายลอย บุตรชาติ กับพวกอีก 3 คนเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไวย์ บุตรชาติ กับนายโปย บุตรชาติ จำเลยเคยเป็นภริยานายลอย แต่เลิกร้างกันมาประมาณ 6 ปี นางไวย์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและได้ปลูกบ้านเลขที่ 43 อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อปี 2534 เมื่อประมาณปี 2520 ถึง 2521 ทางราชการสำรวจเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาท ขณะนั้นจำเลยยังเป็นภริยานายลอยอาศัยอยู่ร่วมกับนางไวย์ได้นำสำรวจแจ้งการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลยแทนนางไวย์เนื่องจากขณะนั้นนางไวย์มีอายุมากและไม่ทราบเรื่องส่วนโจทก์และพี่น้องคนอื่น ๆ ต่างไปทำงานรับจ้างอยู่ที่อื่นทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 620 ให้แก่จำเลยหลังจากได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยนำไปมอบให้นางไวย์เก็บรักษาไว้เพื่อจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อเป็นของนางไวย์ แต่ยังมิได้ดำเนินการเนื่องจากต้องแบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นสระน้ำสาธารณะในที่ดินพิพาทออกก่อน จนกระทั่งนางไวย์ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทจึงเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และบุตรทุกคนของนางไวย์ หลังจากนางไวย์ถึงแก่กรรมโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา และได้ติดต่อให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นชื่อโจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองเป็นชื่อโจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของนางไวย์แต่เป็นของจำเลยโดยนางไวย์ยกให้ จำเลยจึงขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นของตน มิใช่ออกแทนนางไวย์ โจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่ นางไวย์ ถึงแก่กรรมเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนางไวย์เมื่อนางไวย์ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์โดยมีจำเลยเป็นผู้ครอบครองแทนแต่จำเลยบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตั้งแต่ปี 2534 โจทก์มาฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองเกินกำหนด 1 ปี จึงหมดสิทธิฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยน ชื่อผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 620 ตำบลตั้งใจ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์ บุตรชาติ เป็นชื่อของโจทก์ภายใน 7 วัน หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทน การแสดงเจตนา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยโจทก์และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์ บุตรชาติโดยมีชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นผู้ครอบครองแทน ที่ดินพิพาทจึงตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุตรและโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี หรือไม่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายคำว่า คดีมรดก หมายความว่า คดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์มรดกด้วยกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดกนั้น ฉะนั้น เมื่อจำเลยมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้ และโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยผู้ครอบครองแทนกรณีมิใช่เรื่องเรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์มรดก จำเลยจึงไม่อาจอ้างอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาตัดฟ้องโจทก์ อายุความตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวไม่อาจนำมาปรับใช้กับคดีนี้ได้
พิพากษายืน

Share