คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3313/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 80 เดิม(มาตรา 74 ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติไว้ความว่า ในการอันใดถ้าประโยชน์ทางได้เสียของนิติบุคคลฝ่ายหนึ่งกับของตัวผู้จัดการอีกฝ่ายหนึ่งเป็นปฏิปักษ์แก่กันในการอันนั้น ผู้จัดการเป็นอันไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนได้ การที่ ส.ผู้จัดการโจทก์สาขาลอง กับ ป. ต้องการขายลดเช็คให้โจทก์เอง โดยให้จำเลยทั้งสามออกหน้าเป็นผู้ขายลดเช็คนั้นส.ผู้จัดการโจทก์จึงไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนโจทก์ตามมาตรา 80 เดิม(มาตรา 74 ที่แก้ไขใหม่) และความรู้ของ ส. ผู้จัดการโจทก์ดังกล่าวจะถือเป็นความรู้ของโจทก์ด้วยไม่ได้ การที่จำเลยทั้งสามร่วมกับ ส. ผู้จัดการโจทก์และ ป. ขายลดเช็คให้โจทก์ จำเลยทั้งสามต้องผูกพันต่อโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คที่จำเลยทั้งสามแสดงเจตนาต่อโจทก์ด้วย อายุความฟ้องร้องตามสัญญาขายลดเช็ค ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่)

ย่อยาว

คดีสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา โดยให้เรียกจำเลยสำนวนแรก สำนวนที่สองและสำนวนที่สามเป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยทั้งสามต่างนำเช็คคนละ 1 ฉบับลงวันที่ 30 มิถุนายน 2525 สั่งจ่ายเงินฉบับละ 50,000บาท มาทำสัญญาขายลดให้แก่โจทก์สาขาลอง โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าเช็คดังกล่าวครบกำหนดใช้เงินโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คดังกล่าวได้ จำเลยทั้งสามยอมชดใช้เงินตามจำนวนเงินเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไปขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินคนละ 94,754.78 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การเป็นใจความว่า ไม่เคยตกลงทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ ไม่เคยรับเงินจากโจทก์แบบคำเสนอขายลดเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นเอกสารปลอม เพราะนายสวัสดิ์อดีตผู้จัดการโจทก์สาขาลองกับนายปราโมทย์ร่วมกันหลอกลวงให้จำเลยทั้งสามลงชื่อในท้ายแบบคำขอเสนอขายลดเช็คแล้วนำไปกรอกข้อความเองโดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยทั้งสาม คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์เป็นพ่อค้าซื้อขายลดเช็ค แต่โจทก์มาฟ้องเมื่อเวลาเกิน 2 ปี ส่วนดอกเบี้ยค้างส่ง โจทก์เรียกร้องมาเกิน 5 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน94,754.78 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระเงิน 50,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ชำระดอกเบี้ยไม่เกินอัตราอย่างสูงตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยของต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องย้อนหลังขึ้นไปมีกำหนด 5 ปี ให้จำเลยแต่ละสำนวนใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ3,500 บาท
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จำเลยทั้งสามฎีกาประการแรกว่าจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาขายลดเช็คตามฟ้องกับโจทก์หรือไม่นั้นเห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสามแสดงเจตนาออกมาว่าตนเองเป็นผู้ขายลดเช็คกับโจทก์สาขาลอง จำเลยทั้งสามจึงต้องผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น แม้ในข้อเท็จจริงจำเลยทั้งสามจะมิได้เจตนาผูกพันตนตามที่แสดงออกมา ก็หาเป็นผลทำให้การแสดงเจตนานั้นตกเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งคือโจทก์จะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของจำเลยทั้งสามนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 117 เดิม (มาตรา 154 ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งเหตุยกเว้นที่ว่าเว้นแต่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งคือโจทก์จะรู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของจำเลยทั้งสามนี้ แม้จะได้ความว่า นายสวัสดิ์เป็นผู้จัดการโจทก์สาขาลอง ซึ่งเป็นผู้แทนของโจทก์อยู่ในขณะนั้นรู้ความจริงระหว่างนายสวัสดิ์ และนายปราโมทย์กับจำเลยทั้งสาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 80 เดิม (มาตรา 74 ที่แก้ไขใหม่)บัญญัติไว้ความว่า “ในการอันใดถ้าประโยชน์ทางได้เสียของนิติบุคคลฝ่ายหนึ่งกับของตัวผู้จัดการอีกฝ่ายหนึ่งเป็นปฏิปักษ์แก่กันในการอันนั้น ผู้จัดการเป็นอันไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนได้” เมื่อความจริงนายสวัสดิ์กับนายปราโมทย์ต้องการขายลดเช็คเอง โดยให้จำเลยทั้งสามออกหน้าเป็นผู้ขายลดเช็คนายสวัสดิ์จึงไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนโจทก์ได้ ความรู้ของนายสวัสดิ์ว่า จำเลยทั้งสามเป็นเพียงตัวแทนนายสวัสดิ์กับนายปราโมทย์ จึงถือเป็นความรู้ของโจทก์ ด้วยไม่ได้ การที่จำเลยทั้งสามร่วมกับผู้แทนของโจทก์ทำกิจการให้เป็นที่เสียหายแก่โจทก์นั้น จำเลยทั้งสามจะหลีกเลี่ยงความรับผิดโดยปัดไปให้โจทก์ต้องรับผิดในการกระทำของผู้แทนของโจทก์ ซึ่งร่วมกันกับจำเลยทั้งสามกระทำให้โจทก์เสียหายหาได้ไม่ จำเลยทั้งสามจึงต้องผูกพันต่อโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คที่จำเลยทั้งสามแสดงเจตนาต่อโจทก์ และแม้ว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้รับเงินตามสัญญาขายลดเช็คเลย แต่ก็มีการส่งมอบเช็คและรับเงินไปตามสัญญาขายลดเช็คจากโจทก์ผู้ซื้อลดเช็คแล้ว โดยความรู้เห็นเป็นใจกันระหว่าง จำเลยทั้งสามกับนายปราโมทย์และนายสวัสดิ์สัญญาขายลดเช็คจึงใช้บังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องรับผิดชำระเงินตามจำนวนในเช็คพร้อมดอกเบี้ยอัตราตามที่ตกลงไว้ในสัญญา
ส่วนปัญหาที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คดีโจทก์ที่เรียกร้องเกี่ยวกับต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างส่งขาดอายุความนั้น เห็นว่าสำหรับต้นเงินนั้น โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดตามสัญญาขายลดเช็ค ซึ่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คไม่มีบทบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม(มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่) คือมีอายุความ 10 ปี ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เช็คที่จำเลยทั้งสามนำมาทำสัญญาขายลดให้แก่โจทก์ครบกำหนดใช้เงินวันที่ 30 มิถุนายน 2525 และเช็คทุกฉบับธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินในวันที่เช็คครบกำหนดดังกล่าว อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2525 ครบกำหนด 10 ปี วันที่ 30มิถุนายน 2535 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามวันที่ 11 สิงหาคม 2530จึงไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์เกี่ยวกับต้นเงินจึงไม่ขาดอายุความ ส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยค้างส่งนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 166 เดิม (มาตรา 193/33(1) ที่แก้ไขใหม่) มีกำหนดอายุความ 5 ปี โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยค้างส่งจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 นับแต่วันถัดจากวันฟ้องย้อนหลังขึ้นไปเป็นเวลา5 ปี อันเป็นดอกเบี้ยค้างส่งในส่วนที่ไม่ขาดอายุความ แต่เฉพาะจำเลยที่ 2 นั้น ได้ความว่าหนี้ครบกำหนดแล้วเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2529จำเลยที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.21อายุความจึงสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172เดิม (มาตรา 193/14 (1) ที่แก้ไขใหม่) และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2529 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 2 นับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 30 มิถุนายน 2525 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้ระบุในคำพิพากษาให้ชัดเจนว่า จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดชำระต้นเงินให้แก่โจทก์จำนวนเท่าใด ประกอบกับโจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งแม้ไม่เกินอัตราตามที่ตกลงไว้ในสัญญาขายลดเช็ค และมิได้ระบุให้จำเลยทั้งสามรับผิดชำระดอกเบี้ยในช่วงเวลาใดในอัตราเท่าใดนั้นยังไม่ชัดเจน เห็นสมควรแก้ไขให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระเงินคนละ50,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (11 สิงหาคม 2530) ย้อนหลังขึ้นไปถึงวันที่ 5มีนาคม 2529 ร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 ร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2529ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2527 ร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 มีนาคม2527 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526 และร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2526 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2525 กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 50,000บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2ชำระเงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ19 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2525 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2526ร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526 ถึงวันที่ 4มีนาคม 2527 ร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2527 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 ร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มกราคม 2529จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5มีนาคม 2529 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 2ต้องรับผิดต่อโจทก์คิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 44,754.78 บาท กับให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาคนละ 2,500 บาท แทนโจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share